เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 8 กรกฎาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจงานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันอาสาฬหบูชา พุทธศักราช 2560
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงบริเวณหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโบกพระหัตถ์ทักทายพสกนิกรที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จจำนวนมาก ต่างเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้อง โดยประชาชนต่างมาจับจองพื้นที่รอรับเสด็จตั้งแต่ช่วงบ่าย ตั้งแต่บริเวณรอบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเต็นท์ที่สำนักพระราชวังจัดไว้ให้หน้าศาลาลูกขุน และศาลาสหทัยสมาคม ขณะที่ด้านนอกพระบรมมหาราชวัง ประชาชนต่างจับจองพื้นที่บริเวณสนามหญ้ารอบกำแพงวัง และฟุตปาธริมสนามหลวง บนถนนหน้าพระลาน ตั้งแต่หน้าประตูวิเศษไชยศรี ไปจนถึงศาลหลักเมือง โดยต่างมาจับจองตั้งแต่ในช่วงบ่าย และมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกจำนวนมาก
จากนั้นเวลา 18.22 น. หลังจากพระราชพิธีเสร็จสิ้นลง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรี เลี้ยวขวาไปตามถนนหน้าพระลาน จนถึงหน้าศาลหลักเมือง เพื่อเสด็จฯไปประทับรถยนต์พระที่นั่งกลับพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต การนี้ ทรงพระดำเนินไปยังแถวที่ประชาชนนั่งเฝ้าฯ รับเสด็จอยู่ ทรงโน้มพระวรกาย และทรงแย้มพระสรวลให้กับประชาชนทั้ง 2 ฝั่งถนน ตลอดเส้นทาง ยังความปลาบปลื้มให้กับประชาชนที่รับเสด็จเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันประชาชนที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จต่างเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องตลอดเส้นทาง บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ
นางวัชรี สุขทุม อายุ 58 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ จ.เชียงใหม่ และ นางสาวนภัทร อุทยานสุทธิ อายุ 37 ปี ซึ่งเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพตั้งแต่ 8 โมงเช้า เมื่อกราบพระบรมศพแล้วจึงได้รอเฝ้าฯ รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวว่า เมื่อทราบว่าพระองค์เสด็จฯ มายังพระบรมมหาราชวัง ก็อยากรับเสด็จ เพราะเคยแต่ได้รับเสด็จเมื่อครั้งที่พระองค์ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกหลังจากขึ้นทรงราชย์
“รู้สึกปลาบปลื้มใจ และดีใจอย่างยิ่งจนน้ำตาไหล เนื่องจากไม่คาดคิดว่าพระองค์จะทรงพระดำเนินมาใกล้ชิดกับประชาชนอย่างนี้ ทั้งยังทรงพระดำเนินลงบนผ้าเช็ดหน้าที่ตนนำมาวางไว้ที่พื้น ให้ได้เก็บไว้บูชาด้วย ถือว่าใกล้ที่สุดในชีวิต และจะนำเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ลูกหลานฟังต่อไป” นางวัชรีและนางสาวนภัทรกล่าวพร้อมกัน
