นายลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา อดีตประธานาธิบดีบราซิลวัย 71 ปี ถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกเกือบ 10 ปีในข้อหาทุจริต เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม นับเป็นการร่วงหล่นอย่างแรงของผู้นำระดับสัญลักลักษณ์ของฝ่ายซ้าย และเป็นเรื่องพลิกผันล่าสุดของการสอบสวนคดีคอร์รัปชั่นทางการเมืองที่เกาะกุมประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของละตินอเมริกาแห่งนี้
นายลูลาที่ปกครองบราซิลในช่วงระหว่างปี 2546-2553 ถูกตัดสินว่ามีความผิดและได้รับโทษจำคุก 9 ปีครึ่งจากข้อหารับสินบนเป็นอพาร์ตเมนต์หรูริมทะเลและเงิน 1.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และถูกพิพากษาให้ยึดอพาร์ตเมนต์ดังกล่าว
แต่แซร์โจ โมโร ผู้พิพากษาคดีต่อต้านการทุจริต ที่เป็นผู้พิพากษาโทษนายลูลาเปิดเผยว่า นายลูลาจะยังคงเป็นอิสระในระหว่างรอการอุทธรณ์ซึ่งทางทีมทนายความของนายลูลาระบุว่าจะยื่นคำร้องในทันที โดยออกแถลงการณ์ระบุว่า “เรากำลังยื่นอุทธรณ์และจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขา”
ถึงอย่างนั้น คำพิพากษานี้ถือว่าสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับนายลูลาที่หวังจะกลับมาในเวทีการเมือง ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำหนดจะมีขึ้นในเดือนตุลาคมปีหน้า
คำตัดสินยังถือเป็นการส่งสารให้กับแวดวงการเมืองส่วนที่เหลือของบราซิลว่า พวกเขาเองก็เสี่ยงที่จะถูกแรงผลักดันของการต่อต้านคอร์รัปชั่นเล่นงาน แม้กระทั่งนายมิเชล เตเมร์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ยังถูกแจ้งข้อหารับสินบน และรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขาหลายคนต้องลาออกหลังจากที่ถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่น
การเปลี่ยนแปลงในระดับสั่นสะเทือนนี้มาจาก “ปฏิบัติการล้างรถ” การสอบสวนกวาดล้างคอร์รัปชั่นที่มุ่งตรวจสอบการยักยอกฉ้อโกงและรับสินบนครั้งใหญ่ที่พัวพันถึงเปโตรบาส บริษัทน้ำมันของรัฐบาล บริษัทก่อสร้างหลายแห่งและพรรคการเมืองหลายพรรค ซึ่งพรรคแรงงานของนายลูลาก็เป็นหนึ่งในจำนวนนี้
แม้ชาวบราซิลจำนวนมากจะแสดงความยินดีกับการกวาดล้างสิ่งสกปรกและความอื้อฉาวในวงการการเมืองที่ดำรงอยู่มานาน แต่ความไม่แน่นอนนี้ทำให้บราซิลยังคงต้องพยายามดิ้นรนเพื่อออกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ
ทั้งนี้ นายลูลาปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้รับสินบนทั้งตอนที่ดำรงตำแหน่งและหลังก้าวลงจากตำแหน่งแล้ว โดยระบุว่าการสอบสวนที่มีต่อเขาเป็นเกมการเมืองในการป้องกันไม่ให้เขากลับสู่อำนาจอีกครั้ง
ด้านพรรคแรงงานออกแถลงการณ์ระบุว่า คำพิพากษาโทษที่มีต่อนายลูลาเป็น การโจมตีประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญของบราซิล และกล่าวหาผู้พิพากษาว่าอคติ
