พลันที่เห็นท่าทีของ กรธ. และสนช.ต่อ ร่างพรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ก็เข้าใจ
ไม่ว่าจะมาจาก นายสมชาย แสวงการ ไม่ว่าจะมาจาก นายนิยม รัฐอมฤต
แม้อักษรตัวใหญ่คือ “นักการเมือง”
แต่เบื้องหลังคำว่า “นักการเมือง” ก็จะปรากฏตัววิ่ง 3 ตัวตามมาโดยอัตโนมัติ
1 นายทักษิณ ชินวัตร
1 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ 1 คนของพรรคเพื่อไทย พรรค พลังประชาชน พรรคไทยรักไทย
ยังเป็นบรรยากาศ“ก่อน“รัฐประหาร
ไม่ว่าจะเป็นก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่าจะเป็นก่อนรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ล้วนเป็น”บรรยากาศ”เช่นนี้
อย่าแปลกใจ หากจะสัมผัสได้ถึงความคึกคักไม่ว่าจะมาจาก นายคำนูณ สิทธิสมาน ไม่ว่าจะมาจาก นายสมชาย แสวงการ
เพราะนี่คือ “ไม้เด็ด”
เท่ากับเป็น “แนวทาง” ที่จะไปอุดช่องว่าง รอยโหว่ อันเคยเกิดในรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
ที่เรียกกันว่า รัฐประหาร”เสียของ”
ร่างพรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองจึงเป็น “อาวุธ”อันเข้มข้นตามสโลแกน
“ปฏิรูป” ก่อน“เลือกตั้ง“
ปฏิกิริยาซึ่งมาจากแกนนำสำคัญของพรรคเพื่อไทยเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ไม่ว่าดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมายจาก”อังกฤษ”
ไม่ว่าจากอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอย่างน้อยก็ 2 คนที่เรียงแถวกันออกมา “แย้ง”
แต่ที่เฉียบขาดอย่างยี่งกลับเป็น”ตำรวจ”
พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาเตือนนิ่มนิ่ม
“ระวัง ดาบนี้จะคืนสนอง“