ศาลคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา มี พล.ท.มนัส คงแป้น-พวก 103 รวม”โกโต้ง”เป็นจำเลย กองปราบตรึงกำลังเข้ม

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก องค์คณะผู้พิพากษาแผนกคดีค้ามนุษย์ในศาลอาญา เริ่มอ่านคำพิพากษาคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาหรือโรฮีนจา หมายเลขดำ คม.19,27,28,29,32,35,36,40,41,47,63/2558 รวม 11 สำนวน ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีค้ามนุษย์ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายบรรจง หรือจง ปองพล จำเลยที่ 1, นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือโกโต้ง หรือเสี่ยโต้ง อดีต นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)สตูล จำเลยที่ 29 , พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก จำเลยที่ 54 , กลุ่มตำรวจกับพลเรือน เป็นจำเลย รวม 103 คน ซึ่งอัยการได้ทยอยฟ้องจำเลยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2558 ในความผิด 16 ข้อหา ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ฯ มาตรา 4, 6, 7, 9, 10, 11, 52 , 53/1 , ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์การอาชญากรรมข้ามชาติ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 3 ,5, 6, 10, 25, ร่วมกันหรือนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร หรือช่วยเหลือบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 63,64 , พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4 ,7 , 8 ทวิ , 72 ,72 ทวิ , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหาย ตามประมลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 , 309 , 312 , 312 ทวิ , 312 ตรี , 313 , 320 , 371 โดยการกักขังควบคุมตัวชาวเมียนมา และชาวบังคลาเทศ ซึ่งเป็นต่างด้าวในแคมป์ บริเวณเทือกเขาแก้ว เพื่อบังคับใช้แรงงานลักษณะการค้ามนุษย์นั้น ได้มีการทำร้ายร่างกายซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งคดีนี้ ได้มีการโอนคดีจากศาลนาทวี มาพิจารณาคดีที่แผนกคดีค้ามนุษย์ของศาลอาญา เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา

ซึ่งคดีนี้มีผู้เสียหายได้เข้าเป็นโจกท์ร่วมด้วย และได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่ง ซึ่งฝ่ายจำเลยได้โต้แย้งคัดค้านประเด็นแพ่งว่า จำเลยมิได้กระทำผิดจึงไม่จำเป็นต้องชดใช้ โจกท์ร่วมจึงไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้ อย่างไรก็ดีระหว่างพิจารณา นายสุรียา หรือโกชัย อาฮะหมัด หรืออาหะหมัด (จำเลยที่ 26 เสียชีวิต ) ปัจจุบันจึงเหลือจำเลยที่รอพิพากษา 102 คน

โดยตลอดพิจารณาคดีตั้งแต่ ปี 2558 จำเลยทั้งหมดไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งการฟ้องคดีอัยการก็ได้คัดค้านการให้ประกันตัวเนื่องจากเป็นคดีที่ร้ายแรงและมีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิตชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ซึ่งศาลทำการไต่สวนพยานรวม 116 นัดต่อเนื่องตั้งแต่เดือน มีนาคม 2559 เดือนละ 8 วันโดยไม่มีการเลื่อนคดีหรือยกเลิกนัด ขณะที่การสืบพยานฝ่ายจำเลยได้มีการร้องขอให้พิจารณาคดีลับสำหรับพยานจำเลยบางปากด้วยที่ต้องเบิกความในข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศชาติ ซึ่งศาลอนุญาตให้มีการพิจารณาเป็นการลับโดยให้มีเพียงคู่ความ ทนายความ กับเจ้าหน้าที่ศาลอยู่ในห้องพิจารณาและมีความจำเป็นต้องตัดสัญญาณทีวีวงจรปิดถ่ายทอดการพิจารณาด้วยกระทั่งศาลไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา และให้ฝ่ายจำเลยที่ประสงค์จะยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อศาลภายใน 30 วันนับแต่คดีเสร็จการพิจารณา ซึ่งคดีนี้ โจทก์นำพยานไต่สวน 98 ปาก และจำเลย 111 ปากและพยานเอกสารทั้งสองฝ่าย

ซึ่งวันนี้ศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้งหมดมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯและทัณฑสถานหญิงกลาง เพื่อมาฟังคำพิพากษา โดยมีญาติจำนวนมากร่วมให้กำลังใจซึ่งศาลได้แยกให้ญาติร่วมฟังคำพิพากษาที่ห้อง 701 ซึ่งมีการต่อสัญญาณทีวีวงจรปิดถ่ายทอดภาพและเสียงการอ่านคำพิพากษาจากห้องพิจารณา 704 ที่ให้เฉพาะจำเลย 103 คนกับทนายความอยู่รวมเท่านั้นพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อการรักษาความปลอดภัยและความเรียบร้อยบริเวณศาลเนื่องจากคดีมีจำเลยและทนายความจำนวนมาก ซึ่งอาจเกิดความวุ่นวายได้หากให้ญาติร่วมนั่งฟังในห้องเดียวกับพวกจำเลย

Advertisement

โดยวันนี้มีญาติของจำเลยและผู้เสียหายมาร่วมฟังเต็มห้องพิจารณา 701 ที่ศาลเตรียมไว้ รวมทั้งบริเวณโถงชั้น2

ขณะที่สื่อมวลชนนั้นศาลได้จัดบริเวณนั่งฟังผลที่ห้องโถงชั้น 2 , ห้องพิจารณา 806 กับห้องพักทนายความบริเวณชั้น 7 ซึ่งมีการเชื่อมสัญญาณถ่ายทอดภาพ-เสียงการอ่านคำพิพากษาผ่านวงจรปิดเช่นกัน

ทั้งนี้องค์คณะแผนกคดีค้ามนุษย์ในศาลอาญา ได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาช่วงแรก ตั้งแต่ 08.30 น.-11.00 น. ซึ่งได้มีการพิเคราะห์พยานบุคคลฝ่ายโจกท์ ที่เป็นผู้เสียหายรวม 36 ปาก ซึ่งถือเป็นประจักษ์พยานและกลุ่มเจ้าหน้าที่ซึ่งได้มีการเบิกความถึงรายละเอียดลักษณะการทำหน้าที่ของจำเลยแต่ละคนว่าใครเป็นผู้คุมแคมป์ ที่เรียกว่าบิ๊กบอส ใครเป็นเจ้าของแคมป์ ซึ่งกักขังคนต่างด้าวชาวเมียนมาและบังคลาเทศบริเวณเทือกเขาแก้ว ก่อนที่จะส่งต่างด้าวผ่านไปยังประเทศมาเลเซีย ใครเป็นผู้คุมเสบียง น้ำ อาหาร ใครเป็นคนทำร้ายร่างกาย ใครเป็นคนห้ามใช้โทรศัพท์ออกไปภายนอก โดยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่แคมป์นั้น จำกัดอาหารและน้ำซึ่งไม่เพียงพอต่อคนต่างด้าว และระหว่างนั้นที่ถูกควบคุมตัวห้ามใช้โทรศัพท์โทรหาญาติมิเช่นนั้นจะถูกทำร้าย และถูกขู่จะฆ่า และหากออกไปจากแคมป์ก็ขจะถูกจับตัวกลับมา ซึ่งผู้เสียหายก็เคยถูกทำร้ายเมื่อขออาหารและน้ำเพิ่มโดยระหว่างที่ถูกควบคุมตั้งในแคมป์ ก็ไม่ใดรับจ้างใดๆ โดยศาลเชื่อว่าพยานแต่ละคนได้ให้การตามข้อเท็จจริงที่ประสบและรับรู้มา ซึ่งยากที่จะปั้นแต่งรายละเอียด

Advertisement

โดยขณะนี้เวลา 11.00 น. ศาลก็ยังคงใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษาช่วงการพิเคราะห์ พฤติการณ์ของจำเลยแต่ละคน คาดการณ์ว่าการอ่านคำพิพากษาจะใช้เวลาไปถึงช่วงเย็นเนื่องจากคำพิพากษามีความยาว ประมาณ 500 หน้า ซึ่งขณะนี้ญาติของจำเลยได้ลงมาพัก เข้าห้องน้ำ พักรับประทานข้าว

ขณะที่บรรยากาศจำเลยและญาติได้ทยอยเดินทางมาตั้งแต่เวลาประมาณ 06:00 น. และขณะนี้ได้ขึ้นไปห้องพิจารณาที่บริเวณชั้น 7 เพื่อรอการอ่านคำพิพากษาในเวลา 08:30 น. แต่เนื่องจากจำเลยมีจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ของศาลอาญาได้จัดระเบียบการเข้าฟังคำพิพากษา โดยศาลได้จัดให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงภาพทีวีบริเวณห้องโถง ชั้น 2 ให้ญาติของจำเลยรับฟังได้และห้องพักทนายที่ศูนย์หน้าบัลลังค์ชั้น 7 กับห้องพิจารณาคดี ที่ 806 เนื่องจากไม่ได้อนุญาตให้เข้าร่วมฟังในห้องที่มีจำเลยอยู่เนื่องจากมีจำเลยจำนวนมากเพื่อการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด และห้ามถ่ายภาพและห้ามบันทึกเสียงที่มีการถ่ายทอดจากทีวีบริเวณโถงชั้น 2 เด็ดขาด

ส่วนการดูแลความเรียบร้อยบริเวณโดยรอบศาลอาญา รัชดาภิเษก พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บังคับการปราบปราม พร้อมกำลังตำรวจ กองบังคับการปราบปรามรวมกว่า 60 นาย ได้เข้าประจำการบริเวณโดยรอบศาลอาญา เพื่อดูแลความเรียบร้อย เน้นการตรวจหาอาวุธหรือวัตถุต้องสงสัย เนื่องจากคาดการณ์ว่าในวันนี้จะมีญาติของจำเลยเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาจำนวนมาก

ขณะที่บรรยากาศหน้าศาลอาญาตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มีสื่อมวลชนจากหลายสำนักทั้งไทยและต่างประเทศ มารอสังเกตการณ์การอ่านคำพิพากษาในวันนี้ด้วย

จนถึงเวลา 11.00 น.ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์คณะผู้พิพากษาคดีค้ามนุษย์ในศาลอาญา ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานในคดีมาถึงจำเลยกลุ่มผู้บริหารท้องถิ่น ประกอบไปด้วย นายบรรณจง หรือจง ปองผล อดีตนายกเทศมนตรีเมืองปาดังเบซาร์ จำเลยที่1 , นายอ่าสัน หรือหมู่สัน หรือบังสัน อินทธนู อดีตสมาชิกสภาเทศบาลเมืองปาดังเบซาร์ จำเลยที่ 2 , และ นายประสิทธิ์ หรือเดช หรือบังเบส หรือบังเค เหล็มเหล๊ะอดีตรองนายกเทศมนตรีตำบลปาดังเบซาร์ จำเลยที่ 6

ซึ่งศาลเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นขบวนจัดหาแรงงานในพื้นที่ ต.ปะดังเบซาร์ จ.สงขลา โดยการกระทำนั้นเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ ต่อบุคคลที่อายุ 15-18 ปี และมีส่วนร่วมองค์อาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจำเลยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นถือเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ที่ต้องรับโทษ 2 เท่า

โดยระหว่างการอ่านคำพิพากษาจนถึงเวลา 13.00 น. ศาลได้พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์จำเลยอีกกลุ่ม ที่เป็นผู้ขนส่งแรงงานและเป็นผู้ดูแลเส้นทางโดยพยานหลักฐานโจทก์ พบความเชื่อมโยงระหว่างจำเลย ซึ่งมีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกัน แม้จำเลยบางคนจะต่อสู้อ้างว่ารับจ้างขนส่งสินค้าไม่ทราบว่ามีการขนส่งแรงงานโรฮีนจา นั้น ก็เป็นข้ออ้างเลื่อนลอยเนื่องจากมีหลักฐานตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ เมื่อจำเลยมีความเชื่อมโยงกันก็ย่อมจะรับรู้ถึงเหตุการณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลได้อ่านคำพิพากษายาวนานมาจนถึง 4 ชั่วโมง ซึ่งเริ่มตั้งแต่เวลา 08.30 น. แล้วองค์คณะผู้พิพากษาฯได้สั่งพักการอ่านคำพิพากษา 30 นาที เพื่อให้จำเลย ทนายความ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้พักกินข้าว โดยเริ่มอ่านคำพิพากษาอีกครั้ง เวลา 13.00 น. ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้มีการพิเคราะห์กลุ่มอดีตนายทหารและ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตกเป็นจำเลยร่วมรวม 6 คน ซึ่งมีจำเลยสำคัญ อาทิ พล.ท.มนัส คงแป้น จำเลยที่ 54 , นายปัจจุบัน หรือโกโต้ง อังโชติพันธุ์ อดีตนายก อบจ. สตูล จำเลย ที่ 29

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image