คอลัมน์ จิตวิวัฒน์ : คนดีและความดี ดีอย่างไรไม่เกิดโทษ

 

ความคิดความเชื่อที่ถูกต้องดีงาม และคุณค่าที่สูงส่งนั้น ข้อดีมีมากมาย แต่ก็มีโทษตรงที่ชวนให้เราหลงใหลและยึดติด ดังนั้น จึงไม่ยอมให้ใครแตะต้อง วิจารณ์ หรือท้าทายความคิดความเชื่อนั้น ใครทำเช่นนั้นก็ไม่พอใจ โกรธเกลียดเขา มองว่าเขาเป็นศัตรู จนอยากทำร้ายเขา ไม่ว่าด้วยวาจาหรือการกระทำ ใช่แต่เท่านั้น อัตตายังอาจฉวยเอาความคิดความเชื่อนั้นมาเป็นอาภรณ์ประดับตัวมัน ทำให้มันดูดี เกิดความรู้สึกว่า “กูดี” หรือ “กูถูก” รวมทั้งใช้เป็นข้ออ้างในการขยายอัตตาจนก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เช่น ยัดเยียดความคิดความเชื่อของเราให้คนอื่น หรือถึงขั้นทำชั่วในนามของความถูกต้องและดีงาม ทั้งเพื่อปกป้องและส่งเสริม

ความเป็นคนดีก็เช่นกัน โทษของมันก็คือ เมื่อใดที่เราสำคัญตนว่าเป็นคนดี อัตตาก็ฟูฟ่อง ชวนให้ยกตนข่มท่าน ดูแคลนคนที่ไม่ดีเหมือนเรา ถึงขั้นตัดสินว่าเขาเป็นคนเลว และเมื่อใดที่เราตัดสินเช่นนั้น ก็ง่ายที่เราจะทำร้ายเขา

การทำเช่นนั้นอาจกลายเป็นความชอบธรรมด้วยซ้ำ“เมื่อคนดีทุบตีคนเลว นั่นเป็นสิ่งที่คนเลวสมควรได้รับ” คำพูดดังกล่าวของเจียงชิง ผู้นำแก๊งสี่คนในจีน ซึ่งสนับสนุนการทำร้ายผู้ที่อยู่คนละฝ่ายกับตนในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม เป็นตัวแทนความรู้สึกนึกคิดของผู้คนเป็นอันมากที่คิดว่าตนเป็นคนดี ยิ่งมีการติดฉลากให้เขาว่า เป็น “เชื้อโรค” “ควาย” หรือ “แมลงสาบ” ก็ง่ายที่เราจะกำจัดเขาออกไปในนามของความดี การมองว่าเราดี แต่คนอื่นชั่ว และคนชั่วควรถูกกำราบ กำจัด หรือไม่ควรมีที่ทางอยู่ในโลกนี้ (พูดอีกอย่างคือ คนผิดมีสิทธิเป็นศูนย์) เป็นกับดักของความดี ที่ผู้คนมักพลัดตก และลงเอยด้วยการทำสิ่งเลวร้าย จนถอนตัวไม่ขึ้น

Advertisement

ความดีและความถูกต้องนั้นทำให้ชีวิตของเรามีความหมาย แต่วิถีสู่ความดีและความถูกต้องนั้นมีกับดักอยู่มากมาย อีกทั้งความดีและความถูกต้องก็มีหลายระดับ มีความซับซ้อนในตัวเอง ถึงแม้ความคิดความเชื่อ รวมทั้งคุณค่าที่เรายึดถืออยู่เป็นสิ่งดีงามและถูกต้อง แต่เราแน่ใจได้อย่างไรว่าเราเข้าถึงแก่นแท้หรือสารัตถะของความคิดความเชื่อดังกล่าวอย่างแท้จริง แน่ใจได้อย่างไรว่าเราไม่ได้เข้าใจผิด หรือตีความปรุงแต่งให้ตรงกับอคติของเรา

มั่นใจแล้วหรือว่าความคิดความเชื่อดังกล่าวไม่ได้ถูกอัตตาฉกฉวยต่อเติมเพื่อประโยชน์ของมัน..

ดังนั้น ผู้ที่ใฝ่ในความดีงามและความถูกต้อง จึงต้องหมั่นใคร่ครวญ ตรวจสอบตนเองและสิ่งที่ตนยึดถืออยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่ามันคือความดีงามและความถูกต้องอย่างแท้จริง จะทำเช่นนั้นได้ ก็ต้องไม่ “ฟันธง” ว่า ตนพบคำตอบแล้ว แต่ควรคิดเผื่อหรือสงสัยไว้บ้างว่าตนอาจจะผิด สิ่งที่ยึดถือนั้นอาจไม่ใช่สิ่งดีงามและถูกต้องก็ได้ ผู้พิพากษาชาวอเมริกันผู้หนึ่ง (Learned Hand) กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า “จิตวิญญาณของเสรีภาพ” คือ “จิตวิญญาณที่ไม่แน่ใจเต็มที่นัก ว่ามันถูกต้องแล้ว” นี้ควรเป็นจิตวิญญาณของผู้ใฝ่ความดีและความถูกต้อง คือ ไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้นดีและถูกต้องจริงหรือ

หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก เคยกล่าวว่า “ถึงความเห็นของเราจะถูก แต่ถ้ายึดเข้าไว้ มันก็ผิด” นับประสาอะไรกับความเห็นที่ผิด หากยึดติดถือมั่น ย่อมมีแต่ก่อโทษสถานเดียว ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น โทษอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การดูถูกเหยียดหยามคนที่คิดต่างจากเรา หรือทำไม่เหมือนเรา ยิ่งคิดว่าตนดีหรือถูกต้องมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นว่าเขาเลวมากเท่านั้น ตามมาด้วยความโกรธเกลียด และยิ่งโกรธเกลียดเขา เห็นว่าเขาเลวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นว่าการใช้ความรุนแรงกับเขา ไม่ว่าด้วยวาจาหรือการกระทำเป็นสิ่งชอบธรรมแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ นอกจากการเบียดเบียนเขาแล้ว ความรุนแรงที่กระทำกับเขา ก็ย้อนกลับมาบั่นทอนจิตใจของเราเอง ทำให้ความดีงามและความเป็นมนุษย์ของเราลดน้อยถอยลง

มีคำกล่าวว่า “ยิ่งพยายามกำจัดอสูรร้ายมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องระวังว่าตัวเองจะกลายเป็นอสูรร้ายเสียเอง” ตำรวจที่พยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อปราบโจรให้ได้ ไม่เว้นแม้แต่วิธีการที่ผิดกฎหมายและเลวร้าย สุดท้ายก็กลายเป็นโจรเสียเอง เพราะความชั่วร้ายที่ใช้กับโจรนั้น ย้อนกลับมาทำร้ายจิตใจของตำรวจ คนดีจำนวนไม่น้อยกลายเป็นคนชั่วร้ายก็เพราะเหตุนี้ คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่า ยิ่งมั่นใจว่าตนเป็นคนดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งห่างไกลจากความเป็นคนดีมากเท่านั้น

“ความเกลียดชังนั้นกัดกร่อนสติปัญญาและมโนธรรมของผู้คน” หลิวเสี่ยวปอ ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพชาวจีน ได้กล่าวประโยคนี้ต่อหน้าศาลซึ่งตัดสินจำคุกเขา 11 ปี เป็นเหตุให้เขาตายคาคุกเมื่อเดือนที่แล้ว ความเกลียดชังนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการแปรเปลี่ยนคนดีให้กลายเป็นอสูรร้าย เพราะเมื่อความเกลียดชังครองใจ เราก็ลืมตัวจนปล่อยให้อัตตาครอบงำจิต และสามารถทำสิ่งเลวร้ายใดๆ ก็ได้เพื่อเป็นผู้ชนะ

ดังนั้น หากใฝ่ในความดีงามและความถูกต้อง เราจะต้องระมัดระวังความเกลียดโกรธที่เกิดขึ้นในใจ ปุถุชนนั้นยากที่จะไม่เกลียดหรือโกรธ แต่เราสามารถรู้ทันมัน และไม่ปล่อยให้มันครอบงำจิตใจเราได้ แต่แม้จะพยายามเพียงใด ความเกลียดโกรธก็ยังท่วมท้นใจ มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ คือไม่ใช้ความรุนแรงกับคนที่เราโกรธเกลียด ไม่ชอบเขาอย่างไร ก็ควรใช้สันติวิธีกับเขา เพราะหากใช้ทำร้ายเขาจนถึงชีวิต สิ่งที่เราทำไปก็ไม่อาจเรียกว่าความถูกต้องได้เลย แม้จะทำไปในนามของความดีงามและความถูกต้องก็ตาม ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราปกป้องหรือเชิดชูนั้นเป็นความดีงามและความถูกต้องอย่างแท้จริง หากมารู้ภายหลังว่ามันไม่ใช่ความดีงามและความถูกต้อง เราสามารถแก้ตัวด้วยการเอาชีวิตของเขากลับคืนมาได้ไหม

เราทำร้ายกันมามากแล้วในนามของความดีและความถูกต้อง หากเชื่อในความดีและความถูกต้องอย่างแท้จริง เราควรหันมาใช้ความดีเอาชนะความชั่ว ดังพุทธภาษิตที่ว่า “พึงเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงเอาชนะความร้าย ด้วยความดี พึงเอาชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้ พึงเอาชนะคนพูดพล่อย ด้วยคำสัตย์”

พระไพศาล วิสาโล
www.thaissf.org, twitter.com/jitwiwat
สนับสนุนโดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image