ครบรอบ 70 ปีความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ประเทศไทย 4.0 Incredible India กับความสัมพันธ์บทใหม่

ชุตินทร คงศักดิ์

วันที่ 1 สิงหาคม 2560 เป็นวันครบรอบ 70 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-อินเดีย ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำหน้าที่ทูตไทยประจำอินเดียในปีที่มีความหมายยิ่งนี้ โดยเฉพาะเมื่อขณะนี้เป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดียกำลังก้าวสู่บทใหม่ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลก

เราทราบกันดีว่าไทยและอินเดียมีความใกล้ชิดทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมย้อนไปไกลกว่า 70 ปีของความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระดับรัฐบาลนับพันปี อัตลักษณ์ของ “ความเป็นไทย” ของเราในทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากการหลอมรวมวัฒนธรรมที่มีกำเนิดจากอินเดียและจีน เรามีรามเกียรติ์ ซึ่งก็นำมาจาก “มหากาพย์รามายณะ” และอินเดียยังเป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนา แต่ละปีมีพุทธศาสนิกชนจากทั่วโลก รวมทั้งชาวไทยเรือนแสนเดินทางไปตามรอยพระพุทธเจ้าในเส้นทางสังเวชนียสถานซึ่งอยู่ในอินเดียถึงสามแห่ง

ขณะเดียวกัน “ไทยแลนด์” ก็เป็นที่รู้จักอย่างดีในอินเดีย โดยเฉพาะเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม วัฒนธรรมเด่น อาหารอร่อย และเจ้าบ้านน่ารัก ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมาประเทศไทยถึง 1.2 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 54,000 ล้านบาท ยิ่งมีการไปมาหาสู่กันมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นโอกาสที่จะรู้จักและเข้าใจอีกฝ่ายได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สิ่งนี้เป็นฐานที่มั่นคงและสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระดับประเทศเลยทีเดียว

แต่เราจะรู้จักกันเพียงมิติแคบ ๆ คงไม่ได้ ความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ที่ต้องพูดถึงยังมีอีกหลายด้าน เรามีความใกล้ชิดทางการเมืองตั้งแต่ระดับสูงลงมา โดยเมื่อปลายปีที่แล้ว นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้บินมาถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเมื่อต้นปีที่แล้ว รองประธานาธิบดีฮามิด อันสารี ก็ไปเยือนไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี เราหวังว่าประธานาธิบดีอินเดียท่านใหม่ ท่านราม นาถ โกวินท์ จะมีโอกาสเยือนไทยต่อไป ท่านประธานาธิบดีโกวินท์เป็นชนชั้นดาลิตคนที่สองในประวัติศาสตร์อินเดียที่ก้าวขึ้นเป็นประมุขประเทศ โดยท่านแรกคือ ประธานาธิบดี เค อาร์ นารายณัน (ซึ่งเคยเป็นเอกอัครราชทูตอินเดียประจำไทยเมื่อปี 2510-2512)

Advertisement

อีกด้านหนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้รัฐบาลอินเดียได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลสันสกฤตโลกครั้งที่ 1 และอิสริยาภรณ์ปัทมภูษัณ ซึ่งเป็นอิสริยาภรณ์อันทรงเกียรติฝ่ายพลเรือนของอินเดีย แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่อินเดียให้กับไทย ขณะเดียวกัน การเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะแขกของนายกรัฐมนตรีโมดี เมื่อกลางปี 2559 ก็ได้วางแนวการดำเนินความสัมพันธ์ด้านต่าง ๆ รวมทั้งด้านความมั่นคง

นอกจากความร่วมมือระหว่างกองทัพแล้ว ไทย-อินเดียยังร่วมมือในด้านการต่อต้านการก่อการร้าย การปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติอื่น ๆ โดยเฉพาะอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งอินเดียมีเทคโนโลยีก้าวหน้าที่ไทยสามารถเรียนรู้จากอินเดียได้ อีกทั้งอินเดียยังมีศักยภาพทางทหารและยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีทางอวกาศที่อินเดียมีความเชี่ยวชาญและพัฒนาได้ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ

อีกสิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นโอกาสในความสัมพันธ์ไทย-อินเดียคือการที่เราทั้งคู่ต่างอยู่ในช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปประเทศ ใครที่ติดตามข่าวจะเห็นว่าการพัฒนาประเทศไปสู่ “อินเดียใหม่” อยู่ในวาระแห่งชาติอินเดีย องคาพยพทั้งหลายเร่งปฏิรูปทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นระบบการบริหารบ้านเมือง ระบบเศรษฐกิจ ระบบภาษีใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ไทยเองก็เร่งเครื่องสู่ “ประเทศไทย 4.0” ที่มีนวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึงกว่าร้อยละ 7 ต่อปีของอินเดีย จำนวนชนชั้นกลาง 400 ล้านคน และผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนราว 400 ล้านคน ส่งผลให้อินเดียเป็นผู้ขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโลกที่สำคัญ ขณะที่อาเซียนเองก็มีตลาดใหญ่ถึง 625 ล้านคน และการปฏิรูปอินเดียที่ว่าก็รวมถึงการทำให้เกิดดัชนี Ease of Doing Business ปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับไทย ช่วงเวลานี้จึงเป็นจังหวะทองสำหรับการขยายความร่วมมือทางธุรกิจไทย-อินเดียอย่างก้าวกระโดด

Advertisement

นอกจากนี้ โครงการถนนสามฝ่ายที่เชื่อมไทย-เมียนมา-อินเดีย ก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยต่อไปจะมีบทบาทสำคัญลำเลียงสินค้าและผู้คนระหว่างอินเดียกับประเทศในอาเซียน ซึ่งมีโครงข่ายเชื่อมโยงพร้อมรองรับภายใต้แผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ขณะเดียวกันก็มีความพยายามพัฒนาความเชื่อมโยงรูปแบบอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น การเชื่อมโยงทางทะเลจากชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกและภาคใต้ของอินเดีย ข้ามอ่าวเบงกอลมาขึ้นที่ท่าเรือเมียนมา หรือเกาะภูเก็ต ในส่วนการเชื่อมโยงทางอากาศ ปัจจุบันมีเที่ยวบินเชื่อมโยงไทย-อินเดีย ถึง 162 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และจะมีการเปิดเส้นทางเชื่อมโยงไทยกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียในอนาคต และที่สำคัญที่สุด ความเชื่อมโยงที่ไม่มีตัวตนทางกายภาพอย่างอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่เปิดกว้างและเป็นโอกาสสำหรับทุกคน วันนี้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็วไปพร้อม ๆ กับธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งนับเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ขายสินค้าและให้บริการโลจิสติกส์ชาวไทยที่จะมาลองตลาดอินเดียเช่นกัน

ครั้งหนึ่ง อินเดียอาจจะเป็นมิตรที่อยู่ไกลออกไปสักหน่อยของไทยและอาเซียน แต่วันนี้ผลประโยชน์ร่วมกันเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนเข้าหากันมากขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศอินเดียย้ำว่า อินเดียมองอาเซียนเป็นศูนย์กลางความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และตอนนี้มุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์ของอินเดียก็ให้น้ำหนักมาทางอาเซียนและจีน เกาหลี ญี่ปุ่นมากขึ้น และอาเซียนนี่แหละจะเป็นสะพานเชื่อมอินเดียกับมหาอำนาจเอเชียตะวันออกทั้งทางความรู้สึก ทางการเมือง และทางกายภาพ จากนี้ไปเราคงจะเห็นความกระตือรือร้นของอินเดียในกรอบระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่ไทยมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็น ASEAN, BIMSTEC, IORA, ACD, APEC และ OECD อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ไทยจะผลักดันประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกับอินเดีย ทั้งทางการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงการสร้างสมดุลแห่งอำนาจในภูมิภาค

ในฐานะเอกอัครราชทูตไทยประจำอินเดีย ผมหวังจะได้เห็นคนไทยในทุกภาคส่วนทำความรู้จักและเข้าถึง Incredible India อย่างเต็มศักยภาพ ขณะเดียวกันก็อยากเห็นมหาชนชาวอินเดียได้ค้นพบประเทศไทย 4.0 โดยเฉพาะศักยภาพทางเศรษฐกิจ นวัตกรรมและความสร้างสรรค์ของเรา บนที่ตั้งใจกลางอาเซียนและเอเชีย เพื่อที่จะได้สานต่อความสัมพันธ์บทใหม่ของไทย-อาเซียน-อินเดียในศตวรรษที่ 21 นี้ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เป็นเสาหลักของสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญมั่งคั่งของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image