คำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมเมื่อเดือนตุลาคม 2551 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มีแรง “สะเทือน”
ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิด “ปฏิกิริยา” ไม่พอใจใน “พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย”
หากยังทำให้ตะกอนแห่งการสลายเมื่อปี 2553 กระพือขึ้น
“ในเมื่อเหตุการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2551 มีโอกาสต่อสู้กันในชั้นศาล ทำไมเหตุการณ์สลายการชุมนุมในปี 2553 ที่มีคนเสียชีวิต 99 รายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทยจึงไม่ได้รับโอกาสแบบเดียวกัน”
เป็นการตั้งข้อสังเกตจาก นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ
ความน่าสนใจอยู่ที่ข้อสังเกตของ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ มิได้มีแต่คำพิพากษาของ “ศาล”
หากแต่อยู่ที่กระบวนการของ “ป.ป.ช.”
ทำไมการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนตุลาคม 2551 จึงไปสิ้นสุดที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ขณะที่การสลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 ไปไม่ถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เป็นคำถามโดยตรงไปยัง “ป.ป.ช.”
ทั้งมิได้เป็น “ป.ป.ช.” ชุด ปัจจุบัน หากแต่เป็น “ป.ป.ช.”ชุดเดียวกันกับที่นำกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนตุลาคม 2551 ไปยังศาลฎีกาแผกนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ไม่ว่าในที่สุดแล้ว “ป.ป.ช.”จะมีคำอธิบายออกมาอย่างไร แต่ความคลางแคลงใจก็ยังค้างคา
ค้างคาภายใต้คำ “2 มาตรฐาน”
น่าสังเกตว่าไม่เพียงแต่ต่อกรณีการสลายการชุมนุมของปี 2551 กับของปี 2553 เท่านั้นที่กลายเป็น “คำถาม”
หากกรณีอันเกี่ยวกับข้าวและชาวนาก็เด่นชัด
คำถามก็คือ ทำไมกรณีโครงการประกันราคาข้าวจึงไม่มีความคืบหน้า ทำไมเน้นแต่โครงการ”จำนำข้าว”
ไม่ว่าเหตุการณ์อันเกี่ยวกับ”สลายการชุมนุม” ไม่ว่ากรณีอันเกี่ยวกับการช่วยเหลือชาวนาล้วนดำรงอยู่ในห้วงแห่ง 10 ปี
10 ปีแห่งความขัดแย้ง 10 ปีแห่งรัฐประหาร