เหนือพรหมลิขิต? โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

ย่อมหงุดหงิดและรำคาญใจเป็นธรรมดา

เมื่อ 2 ป. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องมาคอยตอบคำถามสื่อ คำถามมวลชน ไม่ว่าฝ่ายเหลืองหรือแดง ว่าเข้าไปมีส่วนกับการพิจารณาคดีและพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเปล่า

โดย พล.อ.ประยุทธ์นั้น ถูกตั้งคำถามตรงๆ จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เลยทีเดียว ระหว่างการแถลงปิดคดีด้วยวาจาในคดีโครงการจำนำข้าว

“ดิฉันใคร่ขอวิงวอนศาลได้โปรดพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบและโดยสุจริต

Advertisement

ไม่รับฟังการชี้นำจากฝ่ายใดๆ 

แม้แต่หัวหน้า คสช.ผู้กุมชะตาและอำนาจรัฐ 

ที่พูดชี้นำคนในสังคมเกี่ยวกับคดีเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่ผิดแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้อย่างไร 

Advertisement

ซึ่งคำพูดนี้เป็นการชี้นำ เสมือนหนึ่งว่ามีการกระทำความผิดแล้ว ทั้งๆ ที่ศาลยังไม่ได้ตัดสิน”

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ถูกตั้งคำถามฉวัดเฉวียนไป ฉวัดเฉวียนมา ว่ามีส่วนทำให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชาย รอดพ้นจากคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 7 ตุลาคม 2551 หรือไม่

และกำลังถูกจับตาเขม็ง จาก “มวลชนคุ้นเคย” อย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่าจะมีสัญญานใดๆ ส่งไปถึง ป.ป.ช.ไม่ให้อุทธรณ์ในคดีนี้หรือไม่

เหตุที่ลามไปถึง ป.ป.ช.ทั้งที่ที่ผ่านมา ป.ป.ช.เป็นผู้สอบคดีสลายกลุ่มพันธมิตรเอง และเป็นผู้จ้างทนายฟ้องเอง หลังอัยการสูงสุดไม่เห็นพ้อง

ป.ป.ช.ลุยสุดตัวมาแต่แรก เรื่องอุทธรณ์จึงไม่น่าเป็นปัญหา

แล้วทำไมกลุ่มพันธมิตรจึงออกโรงมาขู่ให้ ป.ป.ช.อุทธรณ์ 

ประเด็นนี้ต้องให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ตอบ

และแน่นอน ไม่แคล้วที่จะโยงใยไปถึง พล.อ.ประวิตร อยู่นั่นเอง

ฤานี่เป็น “พรหมลิขิต” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร มาเผชิญกับข้อกล่าวหาอันฉกาจฉกรรจ์เช่นนี้

เขียนไปไม่รู้ว่าผิดหรือเปล่า

เพราะว่ากันตามจริง สำหรับคณะรัฐประหารแล้ว คือองค์รัฏฐาธิปัตย์ที่ใหญ่เหนือกว่าสิ่งใดทั้งปวง

อุปมาอุปมัยให้มีสีสันหน่อยก็อาจบอกได้ว่า ย่อมใหญ่เหนือพรหม คือเป็น “ผู้ลิขิตเอง” ไม่ใช่พรหมมาลิขิต

ด้วยความ “ใหญ่เบ้ง” นี้เอง

จึงทำให้มีคนบางฝ่ายเชื่อว่าการผลิกผันของคดีต่างๆ ไม่ว่าคดีสลายกลุ่มพันธมิตรฯ คดีโครงการจำนำข้าว

ผู้มีอำนาจอาจ “ลิขิต” ให้ไปทางใดทางหนึ่งได้ ซึ่งก็คือ องค์รัฏฐาธิปัตย์ นี่แหละ

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร เป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์

เมื่อ พล.อ.ประวิตรคือ “พี่ใหญ่” ของหัวหน้าคณะรัฐประหาร

จึงไม่แปลกที่ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จะถูกลากดึงให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น

แม้ทั้งพี่น้อง 2 ป.จะปฏิเสธเสียงแข็งอย่างไรว่าไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ได้ไปชี้นำ

แต่ก็มีคำถามกวนใจไม่หยุดหย่อน จะบอกว่าเป็น “ทุกขลาภ” ของผู้มีอำนาจก็คงว่าได้

อย่างไรก็ตาม “เกราะคุ้มกันภัย” ที่จะช่วยป้องกันจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว

นั่นก็คือ หลังจากการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 มีคนบอกกับสังคมว่า เราเข้ามาเพื่อแก้ปัญหา เป็นกลาง ไม่เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ซึ่งถ้าทำได้จริงตามนั้นก็ย่อมไม่นำไปสู่ความหวาดระแวงว่าจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง

คำถามก็คือ ที่ว่าเป็น “กลาง” นั้น กลางจริงหรือเปล่า?!?

…………….

สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image