วันที่ 6 ส.ค. 60 ผู้สื่อข่าวรับการร้องเรียนจากชาวบ้านในรอยต่อ 2 จังหวัดพื้นที่หมู่ที่ 1และหมู่ที่ 10 ต.ศาลาครุ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี รวมถึงชาวบ้านหมู่ที่ 11 ต.บ้านพริก อ.บ้านนา จ.นครนายกตอนนี้เดือดร้อนอย่างหนักเนื่องจากคลอง 14 แยกเข้าไปแม่น้ำไนระยะทางประมาณ 5-6 กิโลเมตรมีผักตบชวาและวัชพืชขึ้นอย่างหนาแน่นตลอดทั้งคลองเกษตรโดยเมื่อปี 2559 เจ้าหน้าที่ทหาร(คสช.)ได้เข้ามากำจัดทำการผักตบชวาและวัชพืชจนคลองนั้นสะอาดจนชาวบ้านสามารถใช้น้ำทำการเกษตรได้น้ำไม่ท่วมระบายได้เป็นอย่างดีแต่ต่อมาปี 2560 ผักตบชวานั้นกลับขึ้นอย่างหนาแน่นเต็มคลองเหมือนเดิมชาวบ้านไม่สามารถใช้น้ำในการทำการเกษตรได้พร้อมทั้งยังกีดขว้างทางน้ำจนทำให้น้ำนั้นไหลเข้าท่วมพื้นที่โรงเรียนและที่พักอาศัยของชาวบ้านตลอดจนที่พักอาศัยของชาวบ้านทำให้ชาวบ้านรอยต่อ 2 จังหวัดประมาณ 400 หลังคาเรือนพืชสวนไร่นาที่ทำการเกษตรถูกน้ำท่วมจำนวน 1,000 กว่าไร่ได้รับความเสียหายเนื่องจากช่วงที่ฝนตกหนักลงมาไม่สามารถระบายน้ำได้ทันทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักขณะนี้
นายชะลอ สิงห์แก้วอายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20 หมู่ที่ 1 ต.ศาลาครุ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานีกล่าวว่าผักชวาในแม่น้ำในขึ้นอย่างหนาแน่นส่งผลให้น้ำเสียไม่สามารถใช้น้ำทำเกษตรได้ตลอดจนชาวได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นน้ำเหม็นเน่าเสียสูบขึ้นไปเลี้ยงปลาก็ตายและขณะนี้น้ำเหนือไหลหลากลงมาพื้นที่ภาคกลางหวั่นว่าจะเกิดอุทกภัยน้ำท่วมอย่างฉับพลัน
นายนายปัญญา ประหยัด ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ตำบลศาลาครุเปิดเผยว่าซึ่งทางคลองดังกล่าวนั้นเป็นเส้นทางรับน้ำจากคลองระพีพัฒน์และเขตคลองของตำบลหนองหมูสระบุรีไหลเข้าพื้นที่คลอง 14ซึ่งเป็นเส้นน้ำต้นคลองก่อนแยกออกมาเป็นสองสายคือคลอง 14 และแม่น้ำนั้นผักตบชวา ตลอดจนวัชพืช ได้ขึ้นมาอย่างหนาแน่น สามารถเดินข้ามคลองไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ ตนเคยนำพาชาวบ้านไปร้องไปยังหน่วยงานชลประทานนครนายกและชลประทานรังสิตเหนือทั่งสองหน่วยงานคือต่างไม่รับผิดชอบกลับโยนกันไปมาจึงอยากฝากถึงผู้ใหญ่รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยลงมาดูแลแก้ไขความเดือดร้อนของชาวบ้านด้วยแค่นี้ก็จะอดตายกันหมดแล้วเพราะไม่สามารถจะผลิตพืชทางการเกษตรได้และราคาพืชผลทางการเกษตรในช่วงนี้ก็ตกต่ำอยู่แล้วเกษตรกรไม่รู้จะหันหน้าพึ่งใคร
