ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
หลังผ่านการอ่านคำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมเมื่อเดือนตุลาคม 2551 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ปฏิกิริยาซึ่งมาจาก “พันธมิตร” เข้มข้น
เป็นปฏิกิริยาอันเด่นชัดยิ่งว่า ไม่ว่าหลังการอ่านคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะออกมาอย่างไร
“ปฏิกิริยา” ย่อมบังเกิดตามมาอย่างแน่นอน
เป็นปฏิกิริยาที่คือตะกอนนอนก้นทางการเมืองจากก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 และก่อนรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ตกอยู่บนบ่า “คสช.” มิใช่ใครที่ไหน
กรณีคดีความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงเท่ากับเป็นการสะท้อนลักษณะ “รวมศูนย์” ในทางการเมืองในห้วง 1 ทศวรรษหลังของสังคมประเทศไทย
จะแหวก “ม่าน” แห่งความขัดแย้งได้หรือไม่
แม้ว่าในที่สุดแล้ว “เป้าหมาย” ใหญ่ในทางการเมืองจะคือ การรุกและขับต้อนพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน รวมถึงพรรคเพื่อไทยเข้าสู่มุมอับ
แต่ในแต่ละ “ขั้นตอน” ของปฏิบัติการก็ไม่ควรมองข้าม
ถามว่าก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เพื่อโค่นรัฐบาลพรรคไทยรักไทยใครมีบทบาทในการปูทางและสร้างเงื่อนไข
ตอบได้เลยว่า “พันธมิตร”
ถามต่อไปอีกว่าก่อนกระบวนการรัฐประหารผ่าน “ตุลาการภิวัฒน์” ในเดือนสิงหาคมและในเดือนธันวาคม 2551 เพื่อโค่น
นายสมัคร สุนทรเวช และพรรคพลังประชาชนจะประสบความสำเร็จใครมีบทบาทในการปูทางและสร้างเงื่อนไข
ตอบได้เลยว่า “พันธมิตร”
สถานการณ์ที่ “พันธมิตร” ประสบหลังอ่านคำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมเมื่อเดือนตุลาคม 2551 จึงเท่ากับเป็นการสะกิดแผลเก่า
แผลเก่าจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างนี้แหละ คือ สัญญาณอย่างสำคัญต่อผลจากคดีโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เพราะอย่างน้อยก็มี 2 กลุ่มทางการเมืองให้ความสนใจเป็นอย่างสูง
พรรคเพื่อไทยและ นปช.อันเป็นพันธมิตรของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นตัดออกไปได้เลย เพราะถูกตัดแขน ตัดขาแล้วอย่างแทบจะหมดสิ้น
แต่ “พันธมิตร” และ “กปปส.” ต่างหากที่ทรงความหมาย
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอาจมีบทบาทเป็นอย่างสูงห้วงก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 เช่นเดียวกับ กปปส.มีบทบาทเป็นอย่างสูงในห้วงก่อนรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
แต่จะ “ตัด” รัฐประหาร 2 รัฐประหารนี้ออกจากกันได้ละหรือ
ไม่ว่าในที่สุด คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะออกมาอย่างไร
ล้วนมีแรงสะเทือนทาง “การเมือง”
เป็นแรงสะเทือนที่ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะมองเห็นเส้นทางยุติ ตรงกันข้าม กลับจะยิ่งขยายความขัดแย้งที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องมา 10 กว่าปีทอดยาวออกไปอีก
เส้นทางการเมืองนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 จึงเป็นเส้นทางที่มีปัญหาทางด้านการจราจรทางการเมืองปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด
อยู่นอกเหนือความคาดหมาย
เพราะแม้จะมี “ไฟแดง” ประสานกับ “ไฟเหลือง” และแม้จะมี “ไฟเขียว” แต่ดูเหมือนว่าคนขับขี่ยวดยานจะให้ความเชื่อถือน้อยมาก
เป็นจราจรทางการเมืองที่โน้มเอียงไปในทาง “อนาธิปไตย”