จำโลกของตัวเองตอนอายุ 16 ได้ไหมว่าเป็นอย่างไร
สำหรับเรา และอีกหลายๆคน โลกตอนนั้นงดงาม สดใส ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากเกินไปกว่าการเรียนและสารพัดกิจกรรมของตัวเอง
ภาริอร วัชรศิริ ก็เคยมีโลกที่ไม่แตกต่างกับวัยรุ่นในครอบครัวชนชั้นกลาง จนกระทั่งวันที่ “แม่” ของเธอ ซึ่งเลี้ยงดูแลเธอโดยลำพัง ล้มป่วยกะทันหันด้วยโรคอัมพฤกษ์ตอนเธอเรียนชั้นมัธยม 5 จากวันนั้นถึงวันนี้ กว่า 10 ปีแล้วที่โลกของภาริอรได้เปลี่ยนแปลงไป แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หญิงสาววัย 26 ปีคนนี้ก็ยังคงมีรอยยิ้มสดใสและจากหัวใจที่เข้มแข็งอยู่เสมอ
“สุขภาพของแม่ตอนนี้ ถ้ามองในโรคอัมพฤกษ์ครึ่งซีกก็ค่อนข้างทรงๆ ซึ่งเราพอใจ” ภาริอรเล่าให้ฟังเมื่อเราถามถึงสุขภาพของแม่ ซึ่งเธอเป็นหลักในการดูแล เพราะเชื่อว่าไม่มีใครดูแลได้ดีเท่า
เรียน – ดูแลแม่ คือช่วงเวลาแทบทั้งหมดในชีวิตวัยรุ่น ตั้งแต่ม.ปลายจนเรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งหลายเรื่องราวในชีวิตของเธอและแม่ได้กลายเป็นหนังสือที่จับใจคนอ่านทั้ง ‘How I love MY MOTHER’ และเล่มล่าสุดที่เพิ่งออกมาหมาดๆ ‘How I Live My Life’
How I love MY MOTHER คือเรื่องที่เธอถ่ายทอดประสบการณ์หลังเกิดเหตุไม่คาดฝันนี้ด้วยน้ำเสียงที่สดใส มีอารมณ์ขัน ทั้งที่เป็นเรื่องยากจะรับมือ ตอนอ่านเล่มนั้น เราเคยสงสัยมาก ว่าจิตใจที่เข้มแข็งขนาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกันนะ โดยเฉพาะในวันที่โลกของเธอพลิกกลับ และคำตอบก็อยู่ในเล่ม How I Live My Life
“เล่มนี้จริงๆไม่ได้ตั้งใจจะเขียน แต่บก.มองว่าน่าสนใจดี เขาสนใจในมิติที่ว่าเด็กที่อายุเท่านั้นและผ่านช่วงชีวิตที่ต้องดูแลแม่ ทั้งมัธยม มหาวิทยาลัย วัยทำงาน เราจัดการชีวิตยังไง เหมือนให้เราเล่าเรื่องตัวเองออกมา แล้วอยากให้เห็นว่าคุณสามารถมีความสุขภายใต้ข้อจำกัดของคุณได้ ขนาดเรามีชีวิตอย่างนี้ยังมีความสุข แล้วทำไมคนปกติจะมีความสุขหรือจัดการกับชีวิตให้ดีไม่ได้
เขียนเล่มนี้เราร้องไห้น้อยลงกว่าเล่มแรก คือไม่ได้รู้สึกเศร้ากับมันแล้ว แต่พอเรานึกถึงความทรงจำที่ทั้งดีและไม่ดี สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นจริงในชีวิตเรา เพราะฉะนั้นจึงรู้สึกกับสิ่งที่เขียนค่อนข้างมาก ความยากอีกอย่างคือมีหลายประเด็น บางทีไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงไม่ให้ดูว่าสอน เราต้องการเขียนให้คนอ่านได้เอาไปทำอะไรในชีวิตได้ต่อ โดยไม่เป็นฮาว ทู ไม่เป็นการเทศน์ การสอน” ภาริอรอธิบาย
ภาริอรเล่าว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับเธอ ทำให้เธอเติบโตได้อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในแง่ของความคิด ที่ทำให้เธอเข้าใจถึงการยืนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
“ถ้าเราปลดล็อคความคิดของเราได้ ทุกอย่างจะถูกเปลี่ยนไปเลยอย่างน่ามหัศจรรย์มาก การเปลี่ยนความคิดที่เกิดจากการที่แม่ป่วย คือการที่เราเรียนรู้ว่าต้องพยายามยืนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง ในวันที่เรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เรื่องเกิดเรายังเด็กอยู่เลย แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถพึ่งพาใครได้ เพราะทุกคนมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบเป็นของตัวเอง ยังไงซะไม่ว่าจะช้าหรือเร็วความรับผิดชอบเหล่านี้ก็ต้องมาถึง เราแค่ถึงเร็วกว่าคนอื่น และไม่ได้หมายความว่าเราจะทำไม่ได้
นอกจากนี้ก็เป็นการจัดการปัญหาต่างๆ ในชีวิต ทั้งเรื่องเงิน เวลา การลดทอนความรู้สึกในใจตัวเอง หมายถึงเมื่อมองกลับไป เราในวันนั้นที่ดูแลแม่ก็แค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่อยากมีชีวิตวัยรุ่น แต่สุดท้ายเราก็ต้องเลือกอยู่ดี เราแค่ต้องเลือกสิ่งที่เราทำแล้วไม่รู้สึกผิดต่อตัวเอง หรือกับแม่ ผลลัพธ์เลยออกมาเป็นแบบนั้น เพราะเราเลือกแม่ เราทำงานที่บ้าน และตั้งกฎเลยจะออกจากบ้านได้ครั้งหนึ่ง 3-4 ชั่วโมง เพราะจะไม่ชนมื้ออาหารแม่และแพมเพิร์สแม่ยังรับไหว หรือถ้ามากกว่านี้ก็ต้องหาทางออกอื่นๆมาแก้ไข สุดท้ายเราก็เรียกว่าการเติบโตนะ แต่เป็นการเติบโตแบบไม่ตึงกับตัวเองมากเกินไป ให้แม่สัก 95% และมีชีวิตของตัวเองบ้างสัก 5%”
สิ่งที่เห็นในหนังสือของเธอ คือไม่ว่าจะเผชิญเรื่องอะไรก็ตาม ทุกอย่างอยู่ที่วิธีคิด ด้วยเรื่องทุกข์ถ้ามองให้ทุกข์ก็ทุกข์ ถ้ามองให้สนุกก็สนุกได้ในระดับหนึ่ง
“เวลาฟังแม่พูดไม่ออกแล้วหงุดหงิด แต่พอมองให้เป็นเกมรหัสลับดาวินชี่ ก็กลายเป็นเรื่องขำๆ ฟังไม่ออกก็ไม่ออก ไม่ต้องไปดราม่าอะไรมากมาย”เธอกล่าวพลางหัวเราะ
“เราเป็นคนตลก เราไม่ได้สูญเสียตัวเอง หรือความสนุกของเราไปในการดูแลแม่ เรายังเล่นมุขห่ามๆใส่คนอื่นได้ และสิ่งเหล่านั้นคือตัวตนที่แท้จริงของเรา ความเข้มแข็งของเราคือการที่ยังประคองตัวเองให้มีชีวิตแบบที่สนุกและก็มีความสุขได้ ไม่ต้องหม่นๆ เทาๆ ดูแลคนป่วยเสมอไป อีกอย่างคือเราสามารถแชร์พลังบวกให้คนอื่นได้ นั่นคือความเข้มแข็งที่แท้จริง
แม่ไม่ได้สอนเราตรงๆให้เข้มแข็ง แต่เรามองเห็นจากสิ่งที่แม่ทำ คาแรคเตอร์ที่แม่เป็นแล้วเราซึมซับมาไม่รู้ตัว แม่ดูแลเรามาได้คนเดียวโดยไม่ได้ติดต่อพ่อให้มาช่วยเหลือ ทำไมเราจะทำไม่ได้
ทุกวันนี้เหมือนเป็นแม่ลูกอ่อน เวลาเราเห็นแม่นอนหลับแล้วกรนเสียงดังท่ามกลางเสียงทีวีบ้าน เรารู้สึกว่านั่นคือจุดสูงสุดแล้ว เขาหลับอย่างมีความสุขจริงๆแบบที่ไม่กังวล”
การก้าวผ่านปัญหาของเธอโดยเฉพาะช่วงที่หนักหน่วง คนรอบข้างเองมีส่วนสำคัญไม่น้อย ทั้งคนรักที่ช่วยเธอดูแลแม่ได้ราวกับลูกแท้ๆอีกคนหนึ่งมาตั้งแต่เริ่มต้น ญาติพี่น้องที่คอยดูแล และเพื่อนฝูงที่เข้าใจข้อจำกัดของเธอ ทุกอย่างช่วยแบ่งเบาเรื่องราวต่างๆทั้งกายใจตลอด 10 ปีไปได้
“มูราคามิ เคยเขียนไว้ว่า “วันหนึ่งที่เราเจอกับพายุ เราเผชิญปัญหาเหมือนเราเข้าไปอยู่ในพายุ วันหนึ่งที่เราออกมาจากพายุแล้ว เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราออกมาได้ยังไง ผ่านมาได้ยังไง สิ่งเดียวที่รู้คือ เราไม่เหมือนเดิมแล้ว” เรารู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเป็นอย่างนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ได้มีใครมานั่งบอกเราว่า คิดแบบนี้สิชีวิตจะดีขึ้น ทุกอย่างเกิดจากการปรับทีละนิด เรียนรู้ที่จะคิดบวกให้มากขึ้น หรือคิดตามความจริงมากขึ้น ทีละวันๆจนสิบปี
เรามองโลกตามความเป็นจริง ไม่หลอกตัวเองว่าวันหนึ่งแม่จะเดินได้ แม่จะหาย แต่ก็ไม่มองโลกในแง่ร้ายว่าชีวิตจะไม่ได้ดีไปกว่านี้แล้ว วันนี้เป็นแบบนี้ อนาคตอาจจะเป็นแบบนี้ หรือไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ เราก็ไม่ทุกข์จากการมองโลกแง่ร้าย หรือไม่หลอกตัวเองให้มีความสุขจากการมองโลกในแง่ดี เราแค่ใช้ชีวิตอยู่บนความเป็นจริงไปเรื่อยๆ และอยู่กับปัจจุบัน การอยู่ปัจจุบันก็เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด”
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ถ้ามองย้อนกลับไป เด็กคนหนึ่งที่ไม่ค่อยแสดงออกความรู้สึกที่มีกับแม่สักเท่าไหร่อย่างเธอ อยากทำให้มากกว่านี้ คือกอดแม่หอมแม่ให้มากที่สุด
“เราไม่มีวันรู้เลยว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่วินาทีนี้ที่ทำได้อยู่ เราจะไม่ทำจริงๆเหรอ ในเมื่อมันอาจจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในวันข้างหน้าของเรา
“ส่วนวันนี้เราจะดูแลและรักแม่ให้ดีที่สุด”
………………….
ดอกฝน