Atomic Blonde หนังสายลับ-อาชญากรรมแนวพังค์ร็อค

Atomic Blonde หนังสายลับ-อาชญากรรมแนวพังค์ร็อค

Atomic Blonde หนังสายลับ-อาชญากรรมแนวพังค์ร็อค

Atomic Blonde ถูกนำไปเทียบเคียงกับ John Wick เพราะนอกจากจะมีผู้กำกับคนเดียวกันแล้ว ซีนบู๊สุดมันของจอห์น วิค และ ลอเรน โบรห์ตัน (ตัวเอกของเรื่อง Atomic Blonde) ยังได้แรงบันดาลใจมาจากวีดิโอเกมเรื่องเดียวกันคือ Madden เกมอเมริกันฟุตบอลสุดเดือด และ Assassin’s Creed เกมที่ผู้กำกับ เดวิด เลตช์ บอกว่าการออกแบบฉากต่อสู้ในหนังของเขามาจากวีดิโอเกมเหล่านี้

นอกจากนี้ ตัวละครเอกทั้งคู่ยังต้องฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้อย่างหนักก่อนการแสดงจริง Atomic blonde เป็นการกำกับหนังเดี่ยวครั้งแรกของ เดวิด เลตช์ ซึ่งเดิบโตมาจากสายสตั๊นท์ เมื่อเขามากำกับหนังแอคชั่นบู๊ระห่ำที่มีตัวเอกเป็นสายลับสาว เขาจึงจัดเต็มคิวบู๊ และคอร์สฝึกการต่อสู้อย่างหนักให้กับชาร์ลิซ เธอรอน ซึ่งรับบท สายลับ MI6 ลอเรน โบรห์ตัน

แม้เธอรอนจะเคยแสดงเป็นสาวนักฆ่าในหนังไซไฟ Aeon Flux (2005) และเป็นฟูริโอซา สาวโหดแขนเดียวในหนัง Mad Max : Fury Road (2015) มาแล้ว แต่ใน Atomic Blonde มีการต่อสู้ระยะประชิดตัวที่เธอต้องจับผู้ชายหุ่นล่ำบึ้กทุ่ม เธอรอนจึงต้องฝึกหนักถึงวันละสี่ถึงห้าชั่วโมง เป็นเวลานานกว่าสามเดือน ในโรงยิมเดียวกันกับ คีอา นูรีฟ

แต่ผลที่ออกมาก็สุดคุ้ม โดยเฉพาะฉากแอคชั่นวันช็อตการต่อสู้ของเธอรอนบนบันได ที่กินความยาวกว่าสิบนาที ซึ่งเธอถูกผู้ร้ายรุม ถูกเหวี่ยง ถูกถีบจนกระเด็น แต่เธอก็สวนกลับอย่างไม่บันยะบันยัง และอย่างถึงลูกถึงคน ดิบ เถื่อน และสมจริง จนทำให้คนดูเหนื่อยและเจ็บตาม เป็นเทคนิคการถ่ายทำซึ่งนักวิจารณ์ต่างชื่นชมว่าเป็นฉากลองเทคแบบวันช็อตที่ดีที่สุดฉากหนึ่ง

Advertisement

หนังดัดแปลงจากการ์ตูนของ Oni Press ปี 2012 ชื่อ The Coldest City เขียนโดย แอนโทนี จอห์นสตัน วาดภาพโดย แซม ฮาร์ท เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคสงครามเย็นปี 1989 ช่วงก่อนกำแพงเบอร์ลินถูกทำลาย เริ่มด้วยสายลับ MI6 ถูกฆ่าตาย ลอเรน โบรห์ตัน (ชาร์ลิซ เธอรอน) ถูกส่งตัวไปเยอรมันตะวันออกห้าวันก่อนกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย โดยปลอมตัวเป็นทนายความไปรับศพ เพื่อหาตัวสายลับสองหน้าสมญา แซทเซล ที่เป็นต้นเหตุให้สายลับ MI6 ถูกสังหาร และเอาไมโครฟิล์มเก็บรายชื่อข้อมูลสายลับที่ปฏิบัติงานทั้งในเยอรมันตะวันออกและเยอรมันตะวันตกกลับมา

ลอเรนต้องทำงานร่วมกับสายลับ MI6 เดวิด เพอร์ซิวาล (เจมส์ แม็กอะวอย) ที่ฝังตัวอยู่ในเยอรมันตะวันตก แต่วินาทีแรกที่เหยียบฝั่ง เธอก็ถูกเปิดโปงและโดนพยายามลอบสังหาร สถานการณ์ตึงเครียด ลอเรนถูกหน่วยเคจีบีตามไล่ล่า และยังถูกติดตามจากสายลับสาวชาวฝรั่งเศส เดลฟี (โซเฟีย โบเทลล่า) หนังยอกย้อน ซ่อนเงื่อน และไว้ใจตัวละครตัวใดไม่ได้เลย ใครคือสายลับสองหน้า แซทเซล และลอเรนจะเอา The List กลับมาได้อย่างไร

Advertisement

Atomic Blonde เป็นหนังที่ต้องตั้งสมาธิในการดูเป็นอย่างมาก เพราะซับซ้อนทั้งเนื้อหาและการนำเสนอ ออกแนวหักเหลี่ยมซ่อนปมคล้าย Mission Impossible 1996 แต่ดูยากกว่า มากกว่าจะเป็นหนังบู๊ถึงพริกถึงขิงแบบ John Wick การเล่าเรื่องก็สลับไปสลับมา ย้อนจากท้ายเรื่องที่ลอเรนกลับไปลอนดอน และเล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนไปปฏิบัติภารกิจในเบอร์ลิน

โทนสีหนัง การออกแบบฉาก ตัวละคร เข้ากันดีกับ Theme ของหนัง ทำให้หนังออกแนวเท่ๆ แบบที่ เดวิด เลตช์ บอกว่า เป็นหนัง “อาชญากรรมแนวพังค์ร็อค” ยังมีดนตรีประกอบเป็นเพลงยุค 80 –90’s ที่สุดจ๊าบและมาเป็นชุด เช่นเพลง Under Pressure และ London Calling

หนังสายลับชายแบบเจมส์ บอนด์ มักจะมีฉากเร่าร้อนระหว่างบอนด์กับสาวในเรื่อง พอเป็นสายลับหญิง ก็ยังมีซีนแบบนี้ เป็นฉากวาบหวิวบทเลสเบี้ยนระหว่าง เธอรอน และ โซเฟีย โบเทลล่า ซึ่งย้ำให้เห็นถึงความดิบ เถื่อนของสายลับสาวคนนี้ที่จัดหนักทุกเรื่อง ทั้งการต่อสู้และเรื่องเซ็กส์

ใครชอบหนังสายลับน่าจะไปดูเรื่องนี้ หนังสับขาหลอกคนดูจนหลายคนงงงัน เป็นหนังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่จะไปจนถึงมีภาคต่อของสายลับสาวคนนี้หรือไม่ ก็ต้องติดตามดูต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image