โอเค. – โอเค. เป็นอันว่ารัฐบาลยังไม่พร้อมจะให้มีบรรยากาศประชาธิปไตย แม้มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ต้องให้พรรคการเมืองและนักการเมืองเตรียมตัวระหว่างนี้ถึงกำหนดวันเลือกตั้ง
นักการเมืองไม่สู้เท่าไหร่ อย่างน้อยเขาต้องเตรียมตัวไว้พร้อมเสมอว่าจะทำอย่างไรกับระบบการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่นานจากนี้
วิธีการเลือกตั้งในประเทศไทยน่าจะเรียกได้ว่ามีมาทุกรูปแบบ ทั้งการสังกัดพรรคและไม่สังกัดพรรค ทั้งเลือกแบบเรียงเบอร์ ทั้งแยกเบอร์ ทั้งเหมาพวง หรือแยกพวง ทั้งเลือกตัวผู้สมัคร ทั้งเลือกจากบัญชีรายชื่อ สารพัดรูปแบบ นักการเมืองและพรรคการเมืองทำได้หมด ขอเพียงให้มีการเลือกตั้งเท่านั้น
ถึงขนาดว่า การเขียนเครื่องหมายในแบบการเลือกตั้ง รัฐหรือผู้เตรียมการเลือกตั้งเกรงว่าผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจะไม่เข้าใจในความหมายของเครื่องหมาย จึงให้ผู้สมัครทำเครื่องหมายได้ทั้งสามลักษณะ คือเขียนเครื่องหมายกากบาท หรือเครื่องหมายถูก หรือวงกลมได้หมด ลงตรงหน้าหมายเลขชื่อผู้สมัคร
มีผู้สมัครคนหนึ่งนัยว่า “เขี้ยวจัด” ไปหาเสียงบอกพี่น้องผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งว่า รักตนชอบตน ให้เขียนเครื่องหมายถูก ถ้ารู้สึกเฉย ๆ ไม่รักไม่เกลียดให้เขียนวงกลม หรือหากไม่ชอบขี้หน้าให้กากบาท
เท่านั้นแทบว่าทุกคะแนนเสียงเป็นของผู้สมัครรายนั้นทั้งหมด
วิธีการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือนักการเมือง เขาว่ามีทุกรูปแบบ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เช่นแจกรองเท้าข้างเดียว ลงคะแนนจนชนะให้มารับไปอีกข้าง รอดักแจกไต้จุดไฟ เมื่อผู้สมัครอีกฝ่ายหนึ่งจัดหนังกลางแปลงไปฉายให้ดู เวลากลับบ้านจะได้มีแสงสว่างส่องทาง
ล่าสุด ผู้สมัครได้รับฉายาว่า “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ” ยี้ห้อยคือฉายาของผู้สมัครคนนั้น ส่วนร้อยยี่สิบ คือใช้แบงก์ร้อยเย็บติดกับแบงก์ยี่สิบ คือให้มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งยี่สิบบาท
ครั้งหนึ่งมีการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดร้อยเอ็ด อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งไปลงสมัครที่นั่น เพื่อจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยจริงๆ
แต่เพราะเกรงว่าจะชนะคู่แข่งไม่มากพอ จึงมีรายการยึดบัตรประชาชนและแจกเงินชนิดที่มีแบงก์เป็นกระสอบ การเลือกตั้งครั้งนั้นเรียกว่า “โรคร้อยเอ็ด”
วิธีการหนึ่งที่นิยมพักหนึ่ง คือการไปเคาะประตู หรือเข้าไปในหมู่บ้านกลางดึก เรียกว่า “คืนหมาหอน” ไปแจกเงินตอนนั้น หรือแกล้งเพื่อนผู้สมัคร ไปเคาะประตูยามวิกาลแล้วตะโกนบอกว่าอย่าลืมเลือกเบอร์นี้เน้อ (หมายถึงเบอร์ของอีกฝ่าย)
ระบบเลือกตั้งไม่ต้องพูดถึง เพราะมีมาทุกรูปแบบ คราวนี้จะมาแบบ “ไพรมารีโหวต” หรือการเลือกเป็นชั้นขึ้นไป จากข้างล่างขึ้นข้างบน ให้มีการคัดเลือกผู้สมัครมาตามขั้นบันได เพื่อในที่สุดจะได้ผู้สมัครคนหนึ่งที่ผ่านการเลือกมาหลายขั้นตอน
แล้วเชื่อหรือว่าผู้สมัครคนนั้นบริสุทธิ์ โปร่งใส เหมาะที่จะเป็นผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองนั้น
เมื่อไหร่ผู้ที่ขึ้นไปเป็น “มันสมอง” ของประเทศ จะเลิกคิดเรื่อง “ประชาธิปไตย” ให้ยุ่งยากเสียที
ทำไมไม่ปล่อยให้ระบอบประชาธิปไตยให้เป็นอิสระตามความหมาย ให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจจริงๆ คือให้ประชาชนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยไม่ต้องมีพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนพรรคการเมืองที่จะเกิดขึ้นให้เกิดจากการรวมตัวของนักการเมือง หรือประชาชนจัดตั้งขึ้นมาเอง ล้มเอง เลือกพรรค หรือไม่เลือกพรรคเอง
ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นตามธรรมชาติของการเมืองการปกครองต้องปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติ อย่าไปกำหนดกฎเกณฑ์ให้มากเรื่อง เพราะการเปลี่ยนแปลงระบบมากๆ บ่อยๆ จะเท่ากับดูถูกประชาชน คือการดูถูกตัวเอง
ปล่อยให้ประชาธิปไตยเป็นหน้าที่ของคนไทยแต่ละรุ่นดีกว่าไหม เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นนิรันดร์
เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์