“การกอด” เป็นการแสดงออกที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย และที่สำคัญมีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่กอดอย่างมีประสิทธิภาพครั้งหนึ่งนานประมาณ 20 วินาที
ผศ.พญ.ปราณี เมืองน้อย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ เผยว่า อ้อมกอดถือได้ว่าเป็นยามหัศจรรย์ที่ช่วยให้เราอบอุ่นปลอดภัย และยังช่วยกระตุ้นพัฒนาการแต่ละช่วงวัยด้วย จากการศึกษาของนักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย นอร์ท คาโรไลน่า ดร.คาเร็น เกรเว็น ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร ไซโคโซมาติก เมดิซีน พบว่าระหว่างที่คู่รักกอดกัน สามารถกระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุขได้ชัดเจน และพบว่าคนที่ไม่ได้รับการกอดจะมีความดันโลหิตและจังหวะการเต้นของหัวใจสูงกว่าคนที่ได้รับการกอดอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร เจอร์นัล ออฟ ไซโคโลจิคัล ซายน์ ซึ่งรวบรวมการศึกษาประโยชน์จากการกอดไว้หลายข้อ ดังนี้
1.ลดความรู้สึกกลัวตาย (กอดช่วยชีวิต) ไม่เว้นแม้แต่การกอดตุ๊กตาหมี ยิ่งถ้าเป็นคนยิ่งเพิ่มความมั่นใจได้ ในปี ค.ศ.1995 คู่แฝดอเมริกาคลอดก่อนกำหนด คนหนึ่งสุขภาพดี อีกคนมีแนวโน้มจะเสียชีวิต แต่เมื่อทดลองนำมานอนในตู้อบเดียวกัน พบว่าการสัมผัสซึ่งกันและกันทำให้อีกคนมีชีวิตรอดได้
2.ลดความรู้สึกโดดเดี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนสูงอายุหรือคนป่วยที่มีความเปราะบางเรื่องสุขภาพ ซึ่งจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมา
3.ช่วยให้เด็กเจริญเติบโตและพัฒนาการดีขึ้น จากการศึกษาเด็กในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีการเจริญเติบโตร่างกายและสติปัญญาไม่ดี กอดวันละ 20 นาที นาน 10 สัปดาห์ ทำให้มีพัฒนาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสำหรับเด็กคลอดก่อนกำหนดหรือเด็กอ่อน หากแม่อุ้มแบบจิงโจ้จะมีผลดีต่อสุขภาพเด็กอย่างมาก
4.กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข ออกซีโตซิน (oxytocin) ช่วยลดความวิตกกังวลและความเครียดได้ เช่นเวลาที่มารดาคลอดบุตรจะมีออกซีโตซินหลั่งออกมาจนแม่ลืมความเจ็บปวดไปได้
5.ลดความเครียด ทำให้ควบคุมอารมณ์และแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ดี
6.กระตุ้นสารสื่อประสาทหลายชนิดที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายดี เช่น โดปามีน ทำให้คนเรารู้สึกดี ช่วยลดความเจ็บปวดและอารมณ์ดี
นอกจากนี้ในผลวิจัยยังได้พูดถึงประโยชน์ของการกอดแต่ละช่วงวัยไว้ว่า เริ่มตั้งแต่การกอดลูกในครรภ์ ซึ่งจะเปรียบเสมือนได้รับการกอดจากแม่ที่อุ้มท้องอยู่ เมื่อลูกคลอดออกมาแล้ว การกอดก็จะช่วยให้ทารกคลายความกลัวของอุณหภูมิที่แตกต่างระหว่างครรภ์และโลกภายนอก ทำให้หยุดร้องไห้ อุ่นสบายและปลอดภัย กอดของแม่ครั้งแรกทำให้ลูกวางใจโลกใหม่ได้อีกด้วย
“6 เดือนแรก” การกอดลูกทุกๆ วัน ทำให้มีความผูกพันทางอารมณ์ที่ดีกับแม่ตั้งแต่แรกเกิด ทำให้เป็นคนร่าเริง การกอดลูกเวลาให้นมหรือกล่อมนอนยิ่งทำให้สายสัมพันธ์แนบแน่น และลูกมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี “7 เดือน-1 ขวบครึ่ง” จะส่งเสริมความมั่นใจและการมองโลกในแง่ดี ซึ่งวัยนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ลูกมีพัฒนาการต่างๆ หยิบจับ นั่ง ลุกเดิน ซึ่งพ่อแม่ที่อยู่ใกล้ๆ คอยให้กำลังใจ ทำให้ลูกโตมามั่นใจและมองโลกในแง่ดี
เมื่อถึงวัย 1 ขวบครึ่ง-3 ขวบ ถือเป็นช่วงเวลาที่สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อลูกมากขึ้น พ่อแม่ควรหาเวลากอดลูกอย่างสม่ำเสมอ ทำให้รู้ว่าไม่ได้ห่างและได้รับความรักเสมอ อันจะทำให้เด็กมีทัศนคติที่ดี อารมณ์ดี และวัย 3 ขวบเป็นต้นไป ช่วงวัยที่ได้เจอโลกใหม่ เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ พฤติกรรมลูกอาจเปลี่ยนไป บ้างขี้อาย เก็บตัว บ้างร่าเริง บ้างก้าวร้าว การปรับอารมณ์และพฤติกรรมที่ดีที่สุดคือการกอดและพูดคุย ทำให้ลูกรับรู้ถึงความรักและใส่ใจทุกจังหวะชีวิต เมื่อทำต่อเนื่องทำให้ลูกค่อยๆ รับรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม-อารมณ์ได้ดีขึ้น
ผศ.พญ.ปราณีทิ้งท้ายว่า การกอดที่มีประสิทธิภาพต้องไม่ต่ำกว่าครั้งละ 20 วินาที เพราะจะทำให้โครงข่ายกระแสประสาทนับล้านส่งสัญญาณไปยังสมองกระตุ้นสารสื่อประสาทหรือฮอร์โมนต่างๆ ให้ทำงานอย่างสมดุล การกอดทำให้เกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย โดยสามารถสังเกตประสิทธิผลได้จากความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว
“การกอดลูกบ่อยๆ อาจทำให้พ่อแม่ผิวตึง หน้าเด็กลงได้” ผศ.พญ.ปราณีกล่าว
พลังแห่งการกอด