ไม่ใช่ปลาสาก! นักวิชาการประมงเชื่อฉลามกัด นทท. ชี้โอกาสเกิดน้อยมาก แค่ 1 ใน 200 ล้าน

จากกรณีเมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. วันที่ 16 สิงหาคม 2560 มีนักท่องเที่ยวชายชาวญี่ปุ่น 1 รายถูกปลาไม่ทราบสายพันธุ์กัดที่หน้าหาดกมลา ตรงข้าม สภ.กมลา อ.กะทู้ มีบาดแผลฉีกขาดหลายแผลบริเวณเท้าซ้าย ลักษณะเป็นรอยบาดยาวคล้ายถูกของมีคม ขณะที่ ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า จากการดูบาดแผล  เชื่อว่าเป็นฝีมือของ Black Tip Reef Shark หรือฉลามหูดำ หรือฉลามครีบดำ แต่ต่อมานายนรภัทร ปลอดทอง ผวจ.ภูเก็ต กล่าวภายหลังสอบถามข้อมูลจากนายทัศพล กระจ่างดารา นักวิชาการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งทะเลอันดามัน จ.ภูเก็ต ซึ่งสันนิษฐานตามลักษณะของบาดแผลและพื้นที่เกิดเหตุว่าปลาที่กัดนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นนั้นเป็นปลาบารากรูด้า ซึ่งภาษาถิ่นเรียกว่าปลาน้ำดอกไม้หรือปลาสาก ไม่ใช่ฉลาม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น (คลิกอ่าน)

ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มีการโพสต์ข้อความและภาพระบุ

”วันนี้มีข่าวเรื่องปลาทำร้ายนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลงไปโต้คลื่นหาดกมลา ภูเก็ต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวาน (16 ส.ค.) จากบาดแผลที่เห็นในภาพ นักวิชาการให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นปลา 2 อย่าง อันดับแรกคือ ฉลาม อย่างที่สองคือปลาสาก

#กรุณาอย่าเกลียดฉลาม จากประสบการณ์ของผม คิดว่าน่าจะเป็นฉลามขนาดเล็กมากกว่าปลาสาก ซึ่งเป็นกรณีกับที่แหม่มสาวเคยโดนกัดเมื่อเดือนกันยายน ปี 58 ในบริเวณใกล้กัน ความคิดเห็นของผมตรงกับ ดร.ก้องเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญจากกรมทะเล และผมให้สัมภาษณ์ไปเช่นนั้น ฉลามในที่นี้อาจเป็นฉลามหูดำขนาดเล็กที่พบได้ทั่วไปในชายฝั่งของประเทศไทย โดยเฉพาะชายฝั่งภูเก็ต หรืออาจเป็นลูกฉลามขนาดใหญ่ชนิดอื่นที่เข้ามาเป็นครั้งคราว การระบุให้ชัดเจนว่าเป็นปลาประเภทใดอาจต้องอาศัยการวิเคราะห์กันต่อไป แต่ที่ไม่ต้องวิเคราะห์คือ “กรุณาอย่าเกลียดฉลาม”

Advertisement

“ผมบอกกับช่อง 3 และเพื่อนๆ นักข่าวที่โทรมาสัมภาษณ์ชัดเจนว่า ผมไม่คิดว่าคนไทยต้องกลัวฉลาม โดยมีข้อมูลยืนยัน 2 ประการ อันดับแรก ปริมาณฉลามในน่านน้ำไทยลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด หลายชนิดเข้าขั้นวิกฤต บางชนิด เช่น ฉลามหัวค้อน ลดลงกว่า 90% ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี ข้อมูลอย่างเป็นทางการชี้เช่นนั้น ข้อมูลจากเหล่านักดำน้ำที่เคยเห็นฉลามในทะเลไทยมากมายก็บอกตรงกัน เดี๋ยวนี้หาฉลามดูยากเหลือเกิน อ้าว..แล้วทำไมยังมากัดนักท่องเที่ยวได้ นั่นคือคำตอบอันดับสอง ในปี 60 เราคาดการณ์ว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 25 ล้านคนไปทะเล (นักท่องเที่ยว 34 ล้านคนต่อปีไปทะเล 75.5% ข้อมูลกระทรวงท่องเที่ยว) ยังไม่นับคนไทยอีกมหาศาลที่ไปเที่ยวทะเล ฯลฯ แต่ละปีมีคนไทยคนต่างชาติเล่นน้ำในทะเลไทยนับร้อยล้านครั้ง (คนหนึ่งไม่ได้มาแล้วเล่นน้ำครั้งเดียว) แต่ข่าวที่นักท่องเที่ยวโดนฉลามกัดบาดเจ็บ (ไม่ได้สาหัส) เกิดขึ้น 2 ปีครั้ง (ยุคนี้ข่าวสารเร็วและอาจารย์ธรณ์ก็ทราบอยู่แล้ว) หมายถึงอัตราส่วนที่คนโดนฉลามทำร้ายอาจมีในหลัก 1 ต่อ 200 ล้าน น้อยกว่าหมากัด ผึ้งต่อย ฯลฯ ยังน้อยกว่าอัตราที่คนโดนแมงกะพรุนกล่องหลายเท่า เมื่อคุณนักข่าวถามว่าควรทำอย่างไร? คำตอบของผมเป็นเช่นนี้”

ดร.ธรณ์โพสต์เพิ่มเติมด้วยว่า เราไม่ควรเกลียดฉลาม ไม่ควรคิดทำร้ายเธอ ไม่ต้องกลัวเธอ เพราะลักษณะการกัด ฉลามไม่ได้คิดทำร้ายด้วยซ้ำ เป็นแค่สงสัยว่าเป็นเหยื่อหรือเปล่า เมื่อไม่ใช่ก็จากไป ไม่ใช่พยายามกินคนให้ได้เหมือนในหนัง (หนังที่ทำเกี่ยวกับฉลามไล่ฆ่าคน ควรแบ่งรายได้มาอนุรักษ์ฉลามด้วยซ้ำ เพราะผลกระทบมันเยอะ ผมเหนื่อยมาตั้งแต่สมัยหนังเรื่อง deep blue sea มีแนวคิดจัดแข่งกินหูฉลามเพื่อล้างแค้น) ในทางกลับกัน เราควรหาทางอนุรักษ์ ดูแลฉลาม ผลักดันให้ฉลามบางชนิดเป็นสัตว์คุ้มครอง (โดยเฉพาะฉลามหัวค้อน) และควรเลิกกินหูฉลาม (ตามสมัครใจ หากอยากให้เมืองไทยมีฉลามอยู่ต่อไปนานๆ)

เพราะฉลามสำคัญต่อระบบนิเวศ ในฐานะผู้ล่าสูงสุด และฉลามแสนสำคัญต่อการท่องเที่ยวในแนวปะการัง เพราะโลกนี้มีคนอยากเห็นฉลามตามธรรมชาติ และมีมากขึ้นเรื่อยๆ หลายประเทศประเมินมูลค่าฉลามต่อการท่องเที่ยวดำน้ำ ตลอดชีวิตฉลามอาจสร้างรายได้นับหมื่นเหรียญหรือกว่านั้น (ขึ้นกับค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวของแต่ละประเทศ) และฉลามคือความสง่างามของท้องทะเล ทะเลที่ไม่มีฉลามก็ไม่ควรเรียกว่าทะเล สำหรับผม แมงกะพรุนกล่องเป็นสัตว์ที่ควรต้องระวัง ต้องหาทางป้องกัน ฯลฯ ขณะที่ฉลามเป็นสัตว์ที่เราควรเข้าใจและหาทางรักษาพวกเธอไว้ครับ หมายเหตุ-ขอบคุณภาพจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและอาสาสมัครที่เข้าไปช่วยเหลือครับ (มีภาพให้วิเคราะห์มากกว่านี้ แต่เพื่อความสบายตาขอลงภาพเดียวนะฮะ)

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image