คดีข้าว-หนาวถึงลายพราง

ศาลออกหมายจับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยคดีปฏิบัติหน้าที่
มิชอบ กรณีละเลยไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวกระทั่งทำให้รัฐเสียหาย
หลายแสนล้านบาทเนื่องจากพฤติการณ์มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหลบหนี ไม่ไปรับฟังการอ่านคำพิพากษาตามนัดหมาย

พร้อมกับเลื่อนตัดสินเป็นวันที่ 27 กันยายน
อดีตนายกฯยืนยันตลอดว่าพร้อมพิสูจน์ตนในกระบวนการยุติธรรม จะไม่หนี ซ้ำรอยพี่ชาย
แต่เรื่องหนี ใครก็ตามที่วางแผนสำรอง คิดไว้เป็นทางเลือก คงไม่บอกกล่าว แจ้งสาธารณะให้รับรู้ล่วงหน้าเป็นแน่

ก่อนตัดสินใจ ครั้งยากลำบากที่สุดในชีวิต น่าเชื่อได้ว่า ยิ่งลักษณ์คงได้รับข้อมูลใหม่บางประการ ที่ตรงกันข้ามกับการตั้งใจปล่อยข่าว ลับลวงพราง เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายจำเลยเพื่อให้ตายใจ ในท้ายที่สุด จึงตัดสินใจ เลือกแนวทางที่คิดว่าปลอดภัยที่สุดสำหรับตัว

คดีจำนำข้าว เป็นผลิตผลตกค้างจากวิกฤตปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ฝ่ายต่อต้านทำทุกวิถีทาง มุ่งโค่นล้มรัฐบาล ไม่คำนึงถึงวิธีการต่อสู้ว่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง ก็มีปรากฏให้เห็น ควบคู่ไปกับการยื่นร้องให้ตรวจสอบตามช่องทางอย่างเป็นขบวนการ ผ่านองค์กรอิสระ

Advertisement

ผลจากความขัดแย้ง ต่อสู้นอกสภา เล่นการเมืองตามท้องถนน ทุกกระบวนท่าวิถีทาง จบลง
ด้วยการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อระงับยับยั้ง แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
มิให้นำสู่ความรุนแรง เสียเลือดเนื้อ

อีกทาง เป็นเรื่องคดีความ ที่เข้าสู่สารบบ และมีการนัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 25 สิงหาคม พร้อมกัน 2 คดี
เป็น 2 คดี ที่เกิดจากการแปรนโยบายหลักพรรคเพื่อไทย ไปสู่ภาคขับเคลื่อน ปฏิบัติจริง ตามที่ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชน เมื่อครั้งรณรงค์ ชูหาเสียงเลือกตั้ง และเป็นนโยบายผูกมัดให้ต้องดำเนินการ เนื่องจากประกาศไว้ในรัฐสภา

คดี 1 เป็นเรื่องของการระบายข้าวจีทูจี ซึ่งศาลตัดสินจำคุกจำเลย อาทิ บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 42 ปี ภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยฯ 36 ปี

Advertisement

ขณะที่คดีไฮไลต์ ที่มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย เลื่อนอ่านคำพิพากษา เนื่องจากจำเลยหนีคดี เป็นคดีใหญ่ ที่ถูกจับตามองมากที่สุด

ทั้งนี้เนื่องจาก ผลการตัดสินไม่ว่าจะออกมาอย่างไร จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ ส่งผลต่อการบริหารราชการแผ่นดินไม่มากก็น้อย แม้ว่าเนื้อในการผลักดันนโยบายสาธารณะแต่ละเรื่อง แต่ละโครงการจะไม่เหมือนกันทั้งหมด
แต่กรอบใหญ่ ไม่ต่างกัน นั่นคือเป็นนโยบายที่ไม่สามารถนำเอาระบบบัญชี มาคิดคำนวณ เป็นหลัก หักลบตรงๆ อย่างการลงทุนพื้นฐานการค้าทั่วไป แบบซื้อมา ขายไปตรงๆ มีตัวเลขเป็นกำไร-ขาดทุนได้ เพราะนโยบายสาธารณะแต่ละเรื่อง แต่ละมาตรการ/โครงการนั้น รัฐบาลแต่ละคณะ มีเป้าหมายชัดเจนว่ามุ่งไปเพื่อแก้ปัญหา หรือให้การช่วยเหลือภาคการประกอบธุรกิจ หรือการใด

ทั้งนี้หากเป็นบรรทัดฐานเดิม ดังที่รัฐบาลทุกชุดเคยทำมา ในนามของการแทรกแซง อุดหนุน ประกัน จำนำ หรือชื่อใดมาตรการใด โครงการใดก็ตามแต่ ผลกระทบต่อการบริหารอาจไม่มากนัก สามารถดำเนินการได้ แต่มีข้อพึงระมัดระวังยิ่งขึ้น เมื่อโครงการในลักษณะคล้ายกันนี้ ป.ป.ช.เคยชี้มูลความผิด ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลมาแล้วแต่ในกรณีที่เป็นบรรทัดฐานใหม่

อย่าว่าแต่รัฐบาลหน้าจะขยับยากเลย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีโครงการอะไรต่อมิอะไร บางโครงการเล็งเห็นผลอยู่แล้วว่าจะมีกำไรในตัวของโครงการเองหรือไม่ ก็อาจต้องเผชิญความยากลำบาก วันนี้ภูมิคุ้มกันสูง คุมเบ็ดเสร็จ คงไม่มีใครเอื้อมเอาผิดได้

แต่วันหน้าไม่แน่ ไม่ใครก็ใคร อาจถูกข้อกล่าวหาทำบ้านเมืองเสียหาย ต้องรับผิดชอบนโยบาย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image