ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
แม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน จ. อ่างทอง ลงทางเขตเมืองอยุธยา ตัวลำแม่น้ำจะแคบแล้วเป็นคอขวดเมื่อลงเกาะเมืองด้านตะวันตกผ่านหน้าวัดไชยวัฒนาราม
ส่งผลกระทบทุกปี มีน้ำล้นทะลักท่วมสองฟากแม่น้ำ ทำให้ทุ่งนาบ้านเรือนเสียหายเป็นก่ายกอง
เพื่อลดปัญหาระยะยาว แล้วบรรเทาความเสียหายของประชาชนพลเมือง ทางการ (โดยกรมชลประทาน) มีแนวคิดขุดขยายคลองบางบาล (อ. บางบาล อยุธยา) เชื่อมแม่น้ำน้อยที่สีกุกไปออกบางไทร (อ. บางไทร อยุธยา) ให้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาแบ่งไหลลงทางทิศใต้มากขึ้นและเร็วขึ้น โดยไม่ทะลักท่วมเหมือนแต่ก่อน หรือลดความรุนแรงลงบ้าง
คลองบางบาล เจ้าพระยาสายเก่า
คลองบางบาลเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า แยกไหลไปทางทิศตะวันตก ลงแม่น้ำน้อยไปบางไทรมาแต่แรก
แต่ถูกเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำเมื่อสมัยหลัง โดยขุดคลองลัดจากต้นคลองบางบาล (ตรงข้ามวัดจุฬามณี) ลงไปทางทุ่งภูเขาทอง (ที่มีเจดีย์ภูเขาทอง)
น้ำทะลักไหลลงทางตรงเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาปัจจุบัน ผ่านบ้านกุ่ม ไหลไปแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่าน้อยลง เลยแคบเป็นคลองบางบาลทุกวันนี้
[ตรงนี้ มีรายละเอียดอีกมากในเอกสารนิพนธ์เรื่อง การตั้งถิ่นฐานบริเวณเกาะมหาพราหมณ์ในสมัยอยุธยา ของ วรรณพงศ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา นักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา 2559 หน้า 31-45]
ภูมิประเทศ ความรู้จำเป็นมากสำหรับศึกษาประวัติศาสตร์ไทย รวมถึงพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นยุคนี้และอนาคต แต่การศึกษาไทยไม่ให้ความสำคัญเรื่องเหล่านี้
250 ปี เสียกรุง
ไทยรบพม่าหรือพม่ารบไทย พูดกันทั่วไปว่ากรุงศรีอยุธยาเมื่อพม่าล้อมไว้ ถ้าปิดประตูรักษาอยู่ในเมืองให้แข็งแรงเพื่อรอถึงฤดูฝน พอน้ำเหนือหลากมาพม่าก็เลิกทัพกลับเองเพราะหนีน้ำท่วม ถึงไม่เลิกทัพ ฝ่ายไทยก็เลือกรบไล่เอาชนะได้ไม่ยากนัก
ปัจจุบันไม่มีศึกพม่าตั้งค่ายล้อมกรุง แต่มีน้ำเหนือหลากมาทุกปีเป็นปกติ แล้วท่วมบ้านเรือนทุ่งนารอบอยุธยากระทบถึงที่อื่นๆ โดยรอบ ต้องเดือดร้อนประจำปี
ตั้งแต่มีรัฐชาติสมัยใหม่ แต่ไม่ได้แก้ไข หรือแก้ไขไม่ตก
250 ปี เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งสุดท้าย พ.ศ. 2310 จนบัดนี้ประวัติศาสตร์ไทยยังไม่เรียนรู้ระบบลำน้ำจากธรรมชาติและลมมรสุมกับภูมิประเทศ เพราะคลั่งอย่างเดียวในประวัติศาสตร์สงคราม
ไม่ท้องถิ่น มีแต่สงคราม
การศึกษาไทยทิ้งท้องถิ่น ทั้งในแง่ภูมิประเทศ (ภูมิศาสตร์) และความเป็นมา (ประวัติศาสตร์สังคม)
กรุงศรีอยุธยาในประวัติศาสตร์ไทยจึงมีแต่สงคราม เพื่อความบาดหมางสร้างบาดแผลกับเพื่อนบ้าน (อาจารย์มหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่ง ประจบอำนาจนิยมด้วยวิธีเน้นการเรียนการสอนประวัติศาสตร์สงคราม)
แต่ไม่รู้จัก หรือรู้ไม่มากต่อภูมิประเทศโดยรอบพระนครศรีอยุธยา ต่อเนื่องท้องถิ่นห่างไกลที่มีศึกยกมาล้อมกรุง
แม่น้ำลำคลองทั้งในกรุงและโดยรอบ เป็นโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมโดยธรรมชาติของประวัติศาสตร์ไทย (อาจเรียกโลจิสติกส์ดั้งเดิม) เพื่อขนส่งทั้งภายในและภายนอก ขณะเดียวกันก็เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ในสงคราม
คนชั้นนำบ้าอำนาจชอบอ้างประวัติศาสตร์ไทยแบบยกเมฆบ้างดำน้ำบ้าง ว่าไทยมีความเก่าแก่และเก่งกล้าทำสงครามเข่นฆ่าชนะเพื่อนบ้านอย่างโน้นอย่างนี้ โดยไม่เคยพาดพิงชีวิตความเป็นอยู่ทุกข์สุขอย่างไร? สำเร็จและล้มเหลวแค่ไหน? น้ำท่วมฝนแล้งบ้างไหม? มียังไง? แก้ปัญหาแบบไหน? ฯลฯ
ทั้งนี้ เพราะการศึกษาไทยนานกว่า 100 ปี ทิ้งท้องถิ่นทั้งในแง่ภูมิประเทศและความเป็นมา คนชั้นนำปัจจุบันที่ผ่านการศึกษาแบบนั้นจึงอ่อนแอทางความรู้ท้องถิ่นเหล่านี้ เลยต้องอวดอย่างหงุดหงิดเรื่องตีรันฟันแทง การสู้รบแบบคลั่งชาติอำนาจนิยม