เมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ต.อ.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง รอง ผบก.น.9 พ.ต.อ.กิตติธเนศ ธนันทวีสิน ผกก.สส.บก.น.9 พ.ต.ท.วิเชียร เพชรเสนา รอง ผกก.สส.บก.น.9 และ พ.ต.ท.ประทีป กาวิน สว.กก.สส.บก.น.9 นำกำลังจับกุม นายวอง ชิน หัว อายุ 29 ปี ชาวไต้หวัน ผู้ต้องหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น พร้อมหมวกแก๊ปและเสื้อผ้าที่สวมใส่ระหว่างกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม โดยจับกุมได้ที่ห้องเช่าซอยลาดพร้าว 101 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ
พ.ต.ท.วิเชียร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ผู้เสียหายเป็นคนชราหลายรายในท้องที่ สน.หนองค้างพลู สน.ปทุมวัน สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี รวมถึงใน จ.สุรินทร์ และจ.อุตรดิตถ์ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน ถึงพฤติการณ์เรื่องถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์แอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ ใช้อุบายว่ามีสมุดบัญชีธนาคารจำนวนมากนับสิบๆ เล่ม ถูกส่งเป็นพัสดุมาให้ที่บ้าน แต่บุรุษไปรษณีย์ไม่สามารถนำจ่ายได้ เพราะตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ต้องการตรวจสอบความเคลื่อนไหวทางการเงินในบัญชีของผู้เสียหาย เพราะเกรงว่าจะพัวพันกับการฟอกเงินและคดียาเสพติด
พ.ต.ท.วิเชียร กล่าวต่อว่า เมื่อผู้เสียหายเริ่มเกิดความวิตกและหลงเชื่อ บุคคลดังกล่าวจะแกล้งโอนสายไปให้เจ้าหน้าที่ที่อ้างตัวเป็นข้าราชการระดับสูงของรัฐอีกทอดหนึ่ง เพื่อสั่งการให้ผู้เสียหายเดินทางไปทำธุรกรรมผ่านตู้เอทีเอ็ม โดยให้เลือกเมนูภาษาอังกฤษกดโอนเงินไปให้จนหมดบัญชี จากการตรวจสอบมูลค่าความเสียหายที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้ทำสำเร็จในเบื้องต้น พบว่ามีเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินให้ไปแล้ว9.5ล้านบาท สำหรับ นายวอง ซิน หัว ที่ถูกจับได้นั้นเนื่องจากชุดจับกุมพบหลักฐานเป็นภาพกล้องวงจรปิดหน้าตู้เอทีเอ็มธนาคารแห่งหนึ่ง สามารถบันทึกภาพขณะเจ้าตัวกดเงินสด จำนวน 500,000 บาท ของผู้เสียหายในท้องที่ สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี เอาไว้ได้ จึงประสานขอหมายจับและติดตามไปจับกุมตัวได้ในที่พัก
“จากการสอบสวนผู้ต้องหาผ่านล่ามภาษาไต้หวัน ยอมรับว่าเดินทางเข้าออกประเทศไทยมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ละครั้งมีนายทุนหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวไต้หวันคอยจัดหาที่พัก จัดหารถรับส่ง จัดหาโทรศัพท์มือถือ และคอยอำนวยความสะดวกทุกอย่างตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศไทย ว่าจ้างให้นำบัตรเอทีเอ็มไปตระเวนกดเงินตามตู้ในห้างสรรพสินค้าต่างๆ พอได้เงินมาจะนำไปแลกเป็นตั๋วแลกเงินสกุลไต้หวันตามโต๊ะรับแลกเงิน เพื่อนำไปขึ้นเงินสดที่ประเทศไต้หวันตอนเดินทางกลับ โดยตนจะได้ส่วนแบ่ง 20% จากตั๋วที่แลกกลับไปได้ทั้งหมด” พ.ต.ท.วิเชียรกล่าว
ด้าน พ.ต.ท.ประทีป กล่าวว่า พฤติกรรมของแก๊งนี้จะว่าจ้างคนไทยไปตั้งศูนย์คอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์กลับมาหลอกลวงคนไทยด้วยกัน โดยปรับเปลี่ยนอุบายในรูปแบบต่างๆ ให้เหยื่อหลงเชื่อตลอดเวลา จากนั้นว่าจ้างคนไทยให้ร่วมเป็นสมาชิกแก๊ง เช่น ทีมจัดหาคนเปิดบัญชีธนาคารพร้อมบัตรเอทีเอ็ม โดยให้ค่าจ้างอัตราหัวละ2,000 บาท ว่าจ้างคนไทยลงทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์ให้ทีมกดเงินใช้ และว่าจ้างคนไทยทำหน้าที่ขับรถรับส่งทีมกดเงินจากที่พักไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อตระเวนกดเงินออกจากตู้เอทีเอ็ม ที่ผ่านมาการสืบสวนแกะรอยทีมกดเงินนั้นค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เนื่องจากผู้ต้องหาป้องกันตัวเองด้วยการสวมหมวกปิดบังใบหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย รวมถึงเปลี่ยนจุดนัดหมายกับคนขับรถรับส่งทุกครั้ง โดยหลังจากนี้ชุดจับกุมจะพยายามรวบรวมหลักฐานดำเนินการกับผู้ต้องหาที่เหลือโดยเฉพาะคนไทยที่เข้าไปมีส่วนร่วมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และหากผู้เสียหายรายใดเคยถูกแก๊งนี้หลอกเงินไปขอให้เดินทางมาแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กก.สส.บก.น.9