นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวตอบโต้นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ว่า สงสัยนักกฎหมายใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้เรื่องร้อยศพ จบไปโดยไม่มีโอกาสให้ศาลพิจารณาพิพากษาความผิดของฆาตกร ทั้งนี้ ที่ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นการชี้เขตอำนาจศาล ว่าต้องไปยื่นเรื่องที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการพิจารณาความผิดเกี่ยวกับการตายร้อยศพเมื่อปี 2553 แต่อย่างใด และไม่ทราบว่าเนื้อหาทางกฎหมายข้อนี้ นักกฎหมายใหญ่ของประชาธิปัตย์เข้าใจหรือไม่ เพราะที่ นปช.กำลังดำเนินการและตั้งใจมุ่งมั่นที่จะทำให้ถึงที่สุด คือให้คดีนี้ได้รับการพิจารณาพิพากษาจากศาล เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับคนตาย และคืนความยุติธรรมให้กับประเทศไทย
นพ.เหวงกล่าวว่า นายวิรัตน์ระบุว่า กรณีนี้ศาลอาญายืนยันว่าไม่เป็นความผิด เพราะเป็นการปกป้องรักษาบ้านเมืองและกองกำลังผู้ชุมนุมมีอาวุธ เหตุเกิดเพราะผู้ชุมนุมมีการใช้อาวุธปืนยิง ใช้อาวุธมีดแทง ไม่ใช้ไม้ตีเจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่จึงต้องป้องกันตัว ซึ่งศาลพิพากษาครบถ้วน และระบุว่า ใครมีอาวุธก็ต้องว่ากันเป็นรายบุคคล และพยานที่มีต้องไม่เป็นการตัดต่อเสริมแต่งพยานหลักฐานซึ่งเคยเกิดมาแล้วหลายกรณี แต่เท่าที่ตรวจสอบดูไม่พบว่า ศาลเคยพิพากษาอย่างที่นายวิรัตน์อ้างถึง แต่เป็นเนื้อหาที่นายสรรเสริญ พลเจียก อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช. แถลงตีตกคดีปี 2553 เมื่อ 29 ธันวาคม 2558 จึงสงสัยว่านายวิรัตน์กำลังเปลี่ยนสถานภาพของ ป.ป.ช.ให้เป็นศาลไปแล้วหรือ
นพ.เหวงกล่าวว่า ขอให้นายวิรัตน์ได้ไปศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4288-4289/2560 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2560 ดูจะมีเนื้อความบางตอนสรุปว่า การตายและการบาดเจ็บของประชาชนระหว่างวันที่ 7 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 เกิดจากการปฏิบัติการทางทหารในการผลักดันผู้ชุมนุม สลายการชุมนุม กระชับพื้นที่ หรือขอคืนพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนจริง ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีคำสั่งอนุมัติไว้ในท้ายหนังสือให้เจ้าหน้าที่ของ ศอฉ.สามารถใช้อาวุธปืนและกระสุนปืนจริง ตลอดจนให้ใช้พลแม่นปืนในการปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่ประเด็นที่ศาลฎีกาพิพากษานั้นเป็นเรื่องอำนาจศาล ที่จะต้องไปยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งต้องดำเนินการผ่าน ป.ป.ช. ไม่มีการยืนยันว่าคดีจบ
