“องอาจ” เชื่อ ทุกฝ่ายอยากเห็นบ้านเมืองปรองดอง
เมื่อวันที่ 17 กันยายน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ระบุว่าหากทุกอย่างพร้อมไม่ว่าจะเป็น กฎหมายการแก้ไขปัญหาปรองดอง การเลือกตั้งก็จะมีขึ้นในปี 2561 ว่า นับเป็นเรื่องที่ดี ที่มีความชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี ออกมาอีกระดับหนึ่ง ถึงแม้จะมีเงื่อนไขเรื่องความพร้อมของกฎหมายและเรื่องปรองดอง เพราะวันนี้โพลเกือบทุกสำนักก็ออกมาคล้ายๆกันเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เช่น สวนดุสิตโพลก็สำรวจพบว่า คน 81.88% สนใจวันเลือกตั้ง 60.5% อยากให้มีประชาธิปไตย ส่วนเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับที่จะทำให้การเลือกตั้งเดินหน้าได้นั้น ก็อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการภายใต้กรอบของกฎหมายไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
นายองอาจ กล่าวต่อว่า ขณะที่เรื่องการปรองดองก็เป็นประเด็นที่ได้รับการขานรับจากทุกส่วน ทุกพรรคการเมือง ทุกกลุ่มการเมือง และภาคส่วนต่างๆในสังคมว่า อยากเห็นการปรองดองเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา การปรองดองจะเกิดขึ้นได้นั้นทุกฝ่ายต้องเคารพในกระบวนการต่างๆ ของสังคมอย่างจริงจัง คือ 1.เคารพกระบวนการยุติธรรม 2.เคารพกระบวนการทางการเมือง และ 3.เคารพกระบวนการประชาธิปไตย ตนเชื่อว่าถ้าทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามกระบวนการที่สำคัญของสังคมอย่างตรงไปตรงมาก็เชื่อว่าบ้านเมืองน่าจะอยู่ได้บนพื้นฐานของการปรองดองอย่างแน่นอน
ส่วนกรณีที่อดีต สปท. ท่านหนึ่ง กล่าวว่าบ้านเมืองมีปัญหาเพราะบางฝ่ายไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ถ้ายอมรับผลการเลือกตั้งกลไกปรองดองก็จะเดินหน้าได้ นายองอาจ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคการเมืองต่างยอมรับผลการเลือกตั้ง ใครชนะเลือกตั้ง ได้เสียง ส.ส.ในสภามากกว่าก็ไปทำหน้าที่เป็นรัฐบาล ใครได้เสียง ส.ส. น้อยกว่าก็ไปเป็นฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น เมื่อผู้มีอำนาจของบ้านเมืองในรัฐบาลใช้อำนาจโดยไม่ชอบ ใช้อำนาจเกินขอบเขต กระทำการทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อตนเองและพวกพ้องโดยไม่ฟังเสียงท้วงติงของฝ่ายค้านและฝ่ายต่างๆในสังคมถ้าใครขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้วบริหารงานไปตามปกติไม่ทุจริต ไม่ใช้อำนาจโดยไม่ชอบเกินขอบเขต ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองก็คงไม่เกิดขึ้น จะเห็นได้ว่าปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวกับการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นจากผู้มีอำนาจในรัฐบาลทุจริตและใช้อำนาจโดยไม่ชอบมากกว่า
