ปชป.ชี้ นปช.ฟ้องมาร์คคดี 99 ศพซ้ำไม่ได้ อัด’เต้น’พูดปลุกให้คนเผา ก็ยังลอยนวล

‘ราเมศ’ยัน นปช.ฟ้องใหม่’มาร์ค’คดี 99 ศพ ฟ้องซ้ำไม่ได้ ขัดหลักกฎหมายฟ้อง ขู่ ‘เต้น’ระวังจากโจทก์ก็จะกลายเป็นจำเลย

เมื่อวันที่ 1 กันยายน นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.เรียกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการรื้อฟื้นคดีสลายการชุมนุมปี 2553 มาพิจารณาใหม่นั้นว่า ถือเป็นการออกมาเรียกร้องที่ไร้ซึ่งหลักการที่ถูกต้อง ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม และเป็นการใช้วาทกรรมเพื่อให้สังคมสับสนเกิดความเข้าใจผิด ทั้งที่คดีนี้ได้ยุติไปแล้ว ทั้งปัญหาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย เพราะศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายุติแล้วว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช และมีความชัดเจนว่าไม่มีขั้นตอนไหนที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. ได้กระทำความผิดแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อคดีได้วินิจฉัยถึงที่สุดแล้ว การจะมาดำเนินคดีกับบุคคลที่เคยถูกสอบสวนอีกเป็นไปไม่ได้ ถือว่าขัดต่อหลักกฎหมายและดำเนินคดีซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้

“ขณะนี้มีการปลุกระดมมวลชน ปลุกระดมความคิดเพื่อนำไปสู่ความขัดแย้งด้วยการบิดเบือนข้อมูล สร้างวาทกรรมที่เป็นเท็จ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ และอธิบายได้ดีที่สุดคือ คนที่อยู่ในรัฐบาลนี้ เพราะได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทราบดีว่าบ้านเมืองเกิดอะไรขึ้น และในทางกลับกันรัฐบาลชุดนี้ก็ควรเรียกร้องเพื่อให้ความเป็นธรรมกับนายทหารที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ เพราะคนที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายกลับมีหน้ามาตะโกนเรียกหาความเป็นธรรม หากปล่อยไว้จากที่เป็นโจทก์ก็จะกลายเป็นจำเลย” รองโฆษกพรรค ปชป.กล่าว

นายราเมศกล่าวอีกว่า นายณัฐวุฒิ และพวกทราบดีว่าเกิดจากใคร และรู้ว่าใครเป็นคนสร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองในช่วงนั้น ทั้งๆ ที่แกนนำประกาศว่า “เผาไปเลย ผมรับผิดชอบเอง” แต่กลับไม่รับผิดชอบอะไรเลย และยังลอยนวลอยู่ ซึ่งในสามก๊กขุนพลแบบนี้ถือว่าไม่มีสัจจะ ไม่มีคุณธรรม ทอดทิ้งลูกน้อง เอาตัวรอด คนแบบนี้คบไม่ได้ อย่าว่าแต่เป็นขุนพลเลยเป็นคนดูแลม้ายังไม่ได้เลย ส่วนคดีที่มีคนไปแจ้งความในข้อหายุยง ส่งเสริม ให้มีการบุกล้มการประชุมอาเซียน ที่พัทยา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ต้องชี้แจงให้ชัดว่าคดีถึงไหน อยู่ในชั้นตำรวจหรืออัยการ เพราะดูจากข้อเท็จจริงแล้ว คดีนี้ไม่น่าจะเป็นการสนับสนุน หรือยุยงส่งเสริม แต่น่าจะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ ถือเป็นตัวการร่วมอย่างชัดเจน

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image