“เณรคำ”ปฏิเสธ2คดี’พรากผู้เยาว์-ฉ้อโกงสร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก’ อ้างเด็กที่เกิดมาไม่ใช่ลูก

เมื่อเวลา09.00น.วันที่18กันยายน ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจหลักฐานคดีหมายเลขดำ อ.2340/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวิรพล สุขผล หรือฉัตติโก หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ อายุ 38 ปี เป็นจำเลย ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 317

กรณีเมื่อเดือน มกราคม 2543 ถึงกลางปี 2544 จำเลยพรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี จากผู้ปกครองไปข่มขืนกระทำชำเราเป็นเวลา 2 ปี จนมีบุตร 1 คน อันเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ได้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ แต่ระหว่างดำเนินคดีจำเลยหลบหนีไปประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาโจทก์ได้ขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ศาลชั้นต้นแห่งรัฐบาลกลางรัฐแคลิฟอร์เนีย มีคำสั่งให้ส่งตัวจำเลยกลับมาดำเนินคดีที่ไทย เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา

โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวนายวิรพล จำเลย จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมาฟังการพิจารณา ศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องของอัยการโจทก์ให้จำเลยฟังจนเป็นที่เข้าใจแล้วสอบถามว่า จะรับสารภาพหรือให้การปฏิเสธ ปรากฏว่าจำเลยแถลงยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าไม่ได้กระทำผิดและเด็กที่เกิดมาก็ไม่ใช่บุตรของตน ขณะที่อัยการโจทก์แถลงขอนำพยานโจทก์เข้าเบิกความ 9 ปาก ขณะที่ทนายความจำเลยแถลงต่อขอนำพยานจำเลยเข้าเบิกความ 9 ปาก

ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตคู่ความตามที่ร้องขอ โดยเริ่มสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 8 มิถุนายน 2561

Advertisement

ต่อมาเวลา 13.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 713 ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานคดีดำอ.2341/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวิรพล เป็นจำเลยตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ปี 2552 ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และฟอกเงิน จำเลยให้การปฎิเสธ

โดยอัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2556 ต่อเนื่องกัน จำเลยอาศัยความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระพุทธศาสนา หลอกลวงแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงว่า จำเลยเป็นประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จ.อุบลราชธานี และอ้างว่าได้นิมิตพบองค์อินทร์ ขอให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ต้องใช้หยกเขียวแท้จากประเทศอิตาลี และก่อสร้างเสาวิหารแก้วครอบองค์พระแก้วมรกต รวมทั้งก่อสร้างวิหารสำหรับประชาชนในการปฏิบัติธรรมที่วัดป่าขันติธรรม และทำการก่อสร้างวัดที่ จ.สุพรรณบุรี นอกจากนี้ยังก่อสร้างถาวรวัตถุและจัดกิจกรรมประกอบศาสนกิจ และซื้อเรือจากประเทศสหรัฐฯเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม จึงได้โฆษณาป่าวประกาศ ชักชวนให้ประชาชนบริจาคเงิน ทองคำและทรัพย์สิน โดยตั้งตู้รับบริจาคเงินไว้ และมีป้ายเขียนว่า”รับบริจาคร่วมสร้างมหาวิหาร”และจัดทำป้ายโฆษณาเชิญชวนให้คนบริจาคเงินหรือทรัพย์สินอย่างเปิดเผย โดยปรากฏข้อความอยู่ในเว็บไซต์ www.Luangpunenkham.com โดยระบุว่าจะสร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งงบประมาณก่อสร้างเฉพาะองค์พระแก้วมรกตจำนวน 150 ล้านบาท มีบรรดาญาติโยมบริจาคทุนทรัพย์มาร่วมก่อสร้างจำนวนมาก

นอกจากนี้ ยังได้ลงข้อมูลรูปภาพการสร้างพระแก้วมรกต 4 แผ่น ลงในเว็บไซต์ดังกล่าว และมีการระบุข้อความว่า “ติดต่อจอง เสามหาวิหารพระแก้วมรกตจำลอง องค์ใหญ่ที่สุดในโลก มี199ต้นเท่านั้น ตอนนี้จองไปแล้ว 70 ต้น เป็นเจ้าภาพต้นละ 3แสนบาท ต้องถวายปัจจัยใน 2554 กองงานพระเลขานุการ” อีกทั้งจำเลยยังใช้วิธีอวดอ้างสร้างศรัทธาบารมีความน่าเชื่อถือให้แก่ตนเอง จัดทำเป็นหนังสืออัตชีวประวัติ เช่น ชาติหน้าไม่ขอกลับมาเกิด , บารมีธรรมชาติสุดท้าย , ปาฎิหาริย์หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เป็นต้น จนทำให้ประชาชนทั่วไปหลงเชื่อว่า จำเลยเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หากผู้ใดได้ร่วมทำบุญบริจาคทรัพย์สินให้แก่จำเลยแล้ว จะได้รับผลบุญมากกว่าการทำบุญให้แก่พระภิกษุสงฆ์ทั่วไปทำให้มีประชาชนหลงเชื่อ 29 คน บริจาคเงินรวมทั้งสิ้น 28,649,553.25 บาท และจำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนทั่วไป ที่ไม่ได้มาร้องทุกข์หรือให้การไว้อีกจำนวนมาก

Advertisement

และจำเลยได้โอนเงิน 1,130,000 บาท เป็นทรัพย์สินที่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ไปซื้อรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า 1 คัน ระบุชื่อผู้อื่นเป็นผู้ครอบครองสิทธิ์แทน ความจริงแล้ว จำเลยได้อวดอุตริมนุสธรรม เป็นการอวดอ้างคุณวิเศษให้แก่ตนเอง เป็นการละเมิดพระธรรมวินัย ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์พ.ศ.2505 และจำเลยไม่ได้สร้างองค์พระแก้วมรกตองค์ใหญ่ ไม่ได้สร้างเครื่องพระแก้วมรกตด้วยทองคำ ไม่ได้สร้างมหาวิหารครอบพระแก้วมรกตด้วยหยกแท้จากประเทศอิตาลี แต่มีการสร้างพระแก้วมรกตด้วยหิน มีคุณสมบัติคล้ายหินอ่อน แต่ไม่มีคุณสมบัติของหยกหรือหยกเขียว และไม่ใช่หินหยกจากประเทศอิตาลี

นอกจากนี้ไม่ได้ก่อสร้างวิหารประชาชนในการปฏิบัติธรรมที่วัดป่าขันติธรรม จ.อุบลราชธานี และ จ.สุพรรณบุรี ไม่ได้ซื้อเรือจากประเทศสหรัฐฯ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม และอื่นๆตามที่จำเลยกล่าวอ้าง หลอกลวงไว้แต่อย่างใด อีกทั้งวัดป่าขันติธรรมไม่ได้ขอตั้งให้เป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากจำเลยเกรงว่าจะถูกตรวจสอบ และจำเลยไม่ได้เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโดยเจ้าคณะจังหวัดศรีษะเกษ ได้มีคำสั่งฉบับที่4/2556 ให้จำเลยกล่าวคืนสิกขา เลิกปฏิบัติตนว่าเป็นสมณะทันที เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม2556

เหตุเกิดที่จ.ศรีษะเกษและที่อื่นเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และ 343

โดยเจ้าหน้าที่ราชภัณฑ์เบิกตัว นายวิรพล หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ ในชุดนักโทษจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยมีลูกศิษย์และประชาชนที่ยังศรัทธาประมาณ 20 คน เดินทางมาให้กำลังใจและร่วมฟังการพิจารณาคดี

ศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังและสอบถาม จำเลยให้การปฏิเสธ และศาลสอบถามจำเลยถึงแนวทางในการต่อสู้คดี จำเลยแถลงขอให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ว่า ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้น ได้สร้างวัดและพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลกจริง ส่วนความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น มีญาติโยมเป็นคนจัดทำข้อความและนำไปเผยแพร่ให้ ส่วนความผิดฐานฟอกเงินนั้นรถยนต์ส่วนหนึ่งจำเลยซื้อเองและญาติโยมซื้อมาถวายเพื่อใช้ในกิจของสงฆ์

ต่อมาอัยการโจทก์แถลง นำพยานบุคคลเข้าสืบ12 ปาก ส่วนใหญ่เป็นประชาชนผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่สำนักพระพุทธศาสนา ละเจ้าหน้าที่ ปปง. ขณะที่ฝ่ายจำเลยแถลงนำพยานบุคคลเข้าสืบ จำนวน 49 ปาก

อย่างไรก็ตาม ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ8ปาก นัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่22พฤษภาคม2561 เวลา09.00น. เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายวิรพล อยู่ในห้องพิจารณา มีชาวบ้านหลายคนที่ยังเชื่อมั่นศรัทธาก้มลงกราบ และสอบถามความเป็นอยู่ โดยนายวิรพล กล่าวว่า แม้ตนเองจะไม่ได้สวมจีวรแล้ว แต่จิตใจยังนับถือพุทธศาสนาเหมือนเดิม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image