‘สถาปนิกเพื่อสังคม’ ห่วงวัดไทยติดหล่มอภินิหาร ทำคนงมงาย ชี้สิ้นหวังทางการศึกษา

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. นายไพโรจน์ จีรบุณย์ ในฐานะผู้ก่อตั้งเพจ “สถาปนิกเพื่อสังคม” ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ของวัดพุทธในไทยยุคปัจจุบันว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปจากแนวทางของพุทธศาสนาที่แท้จริง เต็มไปด้วยความงมงาย ผู้คนกราบสักการะสัตว์ในตำนานและเน้นเรื่องอภินิหาร ทั้งที่มีการขยายการศึกษา มีความเจริญด้านวัตถุและเทคโนโลยี แต่กลับหลงเชื่อสิ่งเหล่านี้อย่างลุ่มหลง

“ท่ามกลางภาพรวมๆของ ความเจริญทางวัตถุ ทางการขยายการศึกษา ทางสังคมที่โก้หรูดูคล้ายอารยประเทศ แต่เรากลับยิ่งขยาย ความติดหล่มอภินิหาร กราบกรานสารพัดสัตว์ในตำนานกันมากเข้าไปอีก

คนรุ่นเก่า ถ้ายังหลงเชื่อ ยึดถือ ก็พอทน

แต่ดันมีการสืบทอดให้คนรุ่นใหม่ ที่การศึกษาสูงส่ง ได้ลุ่มหลง หนักเข้าไปมากกว่า

Advertisement

สวนทางกับ ที่อุตส่าห์ได้ร่ำเรียนกันมาเสียเปล่าๆ มันช่างน่าอาย และสิ้นหวังจริงๆ

สภาพของวัดไทยในทุกวันนี้ที่เต็มไปด้วย อภิมหารูปเคารพ ข้ามนิกาย ข้ามศาสนา ข้ามตำนาน
ที่เต็มไปด้วยการโฆษณาสรรพคุณ ด้านอิทธิฤทธิ์ ปาฎิหารย์กันสุดๆ

ก็คงถูกสะท้อนออกมาเหมือนปรากฎการณ์ทุกอย่างในประเทศที่รักของเรา
ที่ถูกการตลาด การมอมเมา ครอบงำ ยึดครองวิจารณญานได้หมด
จนสามารถ ชี้นำ สร้างความเชื่อให้คนงมงายไร้เหตุผล แบบเบ็ดเสร็จ

Advertisement

ทั้งการเมือง การปกครอง การดำเนินชีวิต การบริโภค
และก็มาถึง ศาสนา ในที่สุด

ในประเทศใดก็ตามที่ผู้คน ไม่มีความแข็งแรงทางความคิด ในการต่อต้านการมอมเมา มากพอ
ก็คงจะประสบปัญหาเช่นนี้ เหมือนๆกันทุกประเทศ ไม่ว่าจะเจริญทางวัตถุเพียงใด

ระดับการศึกษาที่สูง แบบกลวงๆ
ไร้มาตรฐาน อย่างที่เราเห็นกัน
ก็เลย ไม่ได้เป็นตัวชี้วัด
การเป็นคนมี สติ มีปัญญา มีความคิด
อย่างแท้จริง ได้เลย

สำหรับคนที่ เป็นผู้ที่เข้าใจ แก่นของพุทธศาสนา
และเคารพเฉพาะ คำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง

ก็อาจแทบจะเลิกเข้าวัด ที่กลายพันธุ์ จนเละเทะแบบนี้ ไปเลย
เพราะไม่ยินดี จะเห็นความไร้ปัญญา ไร้แก่นสาร ของวัดนั้นๆ

เพราะแค่ ใครก็ตาม ได้มีการนำหลักศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวันได้
อย่างเรียบง่าย บนทางสายกลาง และเป็นธรรมชาติ
” เขาก็จะได้มีชีวิตที่เป็นสุข สงบได้ด้วยตนเอง ดีอยู่แล้ว “

เมื่อประสบปัญหา ก็แค่รวบรวมสติ แล้วค่อยๆพิจารณา
แก้ปัญหานั้นๆ ไปเป็นขั้นเป็นตอน ก็ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง ได้เสมอ

ขณะที่คนงมงาย ไร้ปัญญา ก็จะเอาแต่ มุ่งระดม ถมทำบุญ
ตระเวณกราบไหว้พระ ไหว้รูปปั้นเทพ สัตว์ในตำนาน สารพัด
เก้าวัด ร้อยวัด ตระเวณแก้กรรม แก้ชง แก้ไปเรื่อย ทั่วสารทิศ
” แก้มันทุกอย่าง ยกเว้น แก้ไขตนเอง พิจารณาตนเอง “

ซึ่ง ก็กลายเป็นว่า ยังเวียนวนอยู่กับกิจกรรม ที่ไม่ใช่การทำบุญจริง
แต่ เป็นแค่ การบ้าบุญ ติดบุญ หลงบุญ จนอาจก่อปัญหาด้านอื่น ตามมา

แล้วก็เลย ต้องยิ่งตระเวนถมทำบุญ หวังแก้ปัญหาแบบนี้ ที่เกิดขึ้นใหม่

วนเวียนกับความงมงายไปอีกเรื่อยๆ ไม่รู้จบ

เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่มีสติ มีปัญญา มีความเข้าใจ
มีการปฎิบัติตนบนทางสายกลาง พอดีพองาม ตามหลักศาสนา
ก็เลยกลายเป็นชนกลุ่มน้อย

ที่การดำเนินชีวิตเรียบง่าย ไม่ลุ่มหลงของเขา กลายเป็นดูเหมือนว่า
แตกต่างจากผู้คนทั่วไป
ที่ยังหลงอยู่ท่ามกลางความเชื่อ และความงมงาย ที่เค้าทำกัน

โดยที่ จะพูดอะไรมาก ก็ไม่ได้
เพราะ อาจจะไปกระทบกระเทือนจิตใจ คนหลงบุญ บ้าบุญ
และ กระทบความเชื่อส่วนตัว
ที่มักตามมาด้วยคำว่า ที่ทำอยู่(อย่างไร้สตินั้น) ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนใครๆ

ก็เลย ทำได้แค่ ส่งเสียงเตือน กระตุ้นความคิดเป็นบางครั้ง ได้เท่านั้น”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image