ที่มา | อาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พัชรพน |
เผยแพร่ |
อาจจะเป็นเพราะโลกออนไลน์เปิดทางให้ระบายความรู้สึก แชร์ประสบการณ์ แสดงความคิดเห็นได้ง่าย และกระจายไปกว้างขวางด้วยความรวดเร็วมากขึ้น
ทำให้บางเรื่องราวที่ผู้คนเคยมองข้ามและรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นความปกติ กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ที่คนทั่วไปไม่มองข้ามลงมาเป็นตัวแสดงร่วม ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกขัดอกขัดใจนั้นกลายเป็นเรื่องปกติอีกต่อไป
จนน่าสนใจว่าสังคมออนไลน์ที่ผู้คนสามารถสร้างกระแสความรู้สึกร่วมกันได้ทุกเรื่องเช่นนี้
หากอยู่อย่างไม่เท่าทันกับความเปลี่ยนไป จะเป็นการอยู่ร่วมสังคมที่เต็มไปด้วยแรงกดดันที่ก่อให้เกิดความเครียดได้หรือไม่
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่กระแสทำท่าว่าจะเป็น “วาระแห่งชาติ” อาจจะต้องถึงกับตั้ง “คณะกรรมการปฏิรูป” ขึ้นมาโดยเฉพาะ ก่อนที่การฆ่ากันตายในร้านอาหารจะกลายเป็นเรื่องปกติเหมือนอาชญากรทั่วไป
นั่นคือ “มารยาทของเด็กในร้านอาหาร”
สังคมไทยเริ่มคุ้นชินกับวลีที่ว่า “ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน”
เพราะวลีนี้ไม่เพียงเป็นชื่อกระทู้ในเว็บเพจดังๆ อยู่บ่อยครั้ง ยังเป็นชื่อเพจในเฟซบุ๊ก และเป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ อยู่บ่อยๆ
เลยมาถึงการกลายเป็นเรื่องราวที่ได้รับการหยิบยกมาสนทนาในวงการต่างๆ
จนทำไปทำมา กลายเป็นเรื่องที่บ่มเพาะความรังเกียจเด็กที่ไม่ใช่ลูกหลานของตัวเองขึ้นมาอย่างช้าๆ
เพราะเหตุนี้ จึงน่านำมาพิจารณายิ่งว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“มันเป็นเรื่องของความเปลี่ยนแปลง” นักวิเคราะห์สังคมผู้หนึ่งพยายามที่หาสาเหตุ
“สังคมมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปมาก” ในหลายด้าน
มารยาทบนโต๊ะอาหารแบบผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้ดี ผู้ที่จะร่วมโต๊ะต้องถูกฝึกหัดมาเป็นอย่างดี กินอย่างโน้นต้องวิธีนี้ กินอย่างนี้ต้องวิธีโน้น ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ ต้องไม่ทำ ไม่ควรทำอย่างนี้อย่างนั้น ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย
ความเคร่งครัดเข้มงวดมีความแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัว หรือชนชั้นของสังคมว่าจะอบรมสั่งสอนกันด้วยกรอบของความเป็นผู้ดีขนาดไหน
ขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นคนยากจน หาเช้ากินค่ำ ความเข้มงวดในการกินการอยู่ไม่ได้มีใครใส่ใจมากนัก
เป็นการอยู่ในสังคมญาติ สังคมมิตรเข้าอกเข้าใจกัน
เด็กๆ ที่เกิดมาในสังคมแบบนี้ เติบโตมาโดยไม่ได้รับการอบรมอะไรมากมายนักในเรื่องมารยาท
หรือกระทั่งครอบครัวที่ร่ำรวย มีเงินมีทองมีฐานะบางครอบครัวที่ยังเคยชินกับวัฒนธรรมญาติมิตร ลูกหลาน ความรู้สึกให้อภัยกับความไร้เดียงสา ความไม่รู้ของเด็กยังมีอยู่
คนกลุ่มหลังนี้จะรู้สึกถึงการให้อภัยกับเด็กเป็นความเป็นปกติ
แต่สังคมยุคใหม่ที่โลกเชื่อมถึงกันในทุกมิติ กลายเป็นเรื่องไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่เสียแล้ว
ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ร้านอาหาร
โดยเฉพาะร้านอาหารยุคใหม่ที่ทุกคนที่เข้าในร้านต้องกินข้าวจากหม้อเดียวกัน จากอาหารถาด หรือจาน เดียวกัน อย่างร้านบุฟเฟต์ต่างๆ บางร้านแทบจะถือว่าร่วมโต๊ะเดียวกันอย่างร้านที่มีอาหารวิ่งไปให้เลือกตามสายพาน
คนที่ต่างวัฒนธรรม ต่างการอบรมบ่มเพาะที่ถือสาในเรื่องราวที่ต่างกันต้องมาร่วมกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวเช่นนี้ การรับกันไม่ได้จึงเกิดขึ้น
กลุ่มหนึ่งรับไม่ได้ในมารยาทของเด็ก ไม่ว่าไร้เดียงสาสักเท่าไร อย่างบางเรื่องแค่เป็นเด็กสองสามขวบ มีการวิพากษ์วิจารณ์มากมายถึงมารยาทในโต๊ะอาหาร แน่นอนไม่ได้ด่าเด็ก แต่ด่าพ่อแม้ผู้ปกครอง บางคนด่าอย่างสาดเสียเทเสีย
แต่อีกกลุ่มหนึ่งยังมองว่าเรื่องเหล่านี้ แค่มีเมตตาต่อเด็กก็จบ จะอะไรนักหนา
ที่รับไม่ได้คือความไร้น้ำจิตน้ำใจ ไม่ยกเว้นแม้แต่เด็กเล็ก
ต่างฝ่ายต่างบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้กินข้าวอยู่ที่บ้านตัวเองดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีเรื่องที่ไม่ชอบ
สังคมที่มีคนแตกต่างมาอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดอย่างที่ว่า
หากไม่พัฒนากลไกที่จะไปสร้างความคิดการอยู่ร่วมกันอย่างยอมรับความแตกต่างขึ้นมา
ปัญหาความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นต้องใช้กำลังใส่กัน เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ลองนึกดูว่าในร้านอาหารที่เต็มไปด้วยคนที่ตัดสินคนอื่น โดยยึดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ในอารมณ์ที่อยู่ร่วมสังคม อยู่ร่วมโลกไม่ได้กับเห็นว่า “ผิด”
อะไรจะเกิดขึ้น