สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า บรรดาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของญี่ปุ่นเปิดเผยเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมว่า กำลังเร่งประเมินคุณภาพยานพาหนะของตนที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากบริษัทโกเบสตีล ซึ่งออกมายอมรับว่าบิดเบือนข้อมูลด้านคุณภาพ นับเป็นกรณีอื้อฉาวที่ใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งโตโยต้า นิสสัน ฮอนด้า มิตซูบิชิมอเตอร์ ซูบารุและมาสด้ารวมทั้งบริษัทด้านการบินและคู่สัญญาด้านกลาโหมทั้งมิตซูบิชิเฮฟวีอินดัสทรีส์ คาวาซากิเฮฟวีอินดัสทรีส์ และไอเอชไอ ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของโกเบสตีล นอกจากนี้ บริษัทฮิตาชิเปิดเผยว่า รถไฟหัวกระสุนชินคันเซ็นและรถไฟความเร็วสูงในอังกฤษ ก็ใช้อลูมิเนียมของโกเบสตีลด้วย
โฆษกของฮิตาชิเปิดเผยว่า “ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับรถไฟความเร็วสูงทั้งของญี่ปุ่นและอังกฤษมีคุณภาพตามมาตรฐานความปลอดภัย แต่ไม่ตรงกับข้อมูลจำเพาะที่ทางเราตกลงกับทางโกเบสตีลไว้ ด้านนายทามง คุซาคาเบะ โฆษกของฮอนด้าเปิดเผยว่า เพื่อความปลอดภัย เรายังคงศึกษาผลกระทบที่เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดขึ้น
“ในจุดนี้ ยังไม่เห็นปัญหาร้ายแรงจากการที่เรามีการตรวจสอบความปลอดภัยในวัสดุที่ใช้ แต่เรายังคงตรวจสอบอยู่และเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าจำเป็นต้องมีการเรียกรถคืนหรือไม่” นายคุซาคาเบะกล่าว
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้าเปิดเผยว่า โกเบสตีลส่งวัสดุให้กับโรงงานแห่งหนึ่งของตนในญี่ปุ่นซึ่งใช้ในการผลิตฝากระโปรงและประตูหลังของรถยนต์บางรุ่น
ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้กดดันให้โกเบสตีลทำงานร่วมกับลูกค้าที่มีอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อวิเคราะห์ความปลอดภัยอย่างเร่งด่วน
วิกฤตที่กำลังก่อตัวนี้เป็นระลอกล่าสุดในการในเรื่องการควบคุมคุณภาพและเรื่องอื้อฉาวในด้านธรรมมาภิบาลที่บ่อนทำลายชื่อเสียงด้านคุณภาพของญี่ปุ่น และถือเป็นเรื่องปวดหัวที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับนิสสันที่ได้ประกาศเรียกคืนยานพาหนะมากกว่า 1 ล้านคันในตลาดญี่ปุ่นจากปัญหาด้านใบรับรองคุณภาพ
กรณีอื้อฉาวของโกเบสตีลได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อบริษัทผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ยอมรับว่าบิดเบือนข้อมูลที่เกี่ยวกับคุณภาพและความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์
ข้อมูลจากการตรวจสอบภายในพบว่ามีข้อมูลที่ถูกบิดเบือนของผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมราว 19,300 ตัน ทองแดง 2,200 ตัน และอลูมิเนียมหล่อและขึ้นรูป 19,400 หน่วยที่ส่งให้ลูกค้าระหว่างเดือนกันยายน 2559 ถึงเดือนสิงหาคม 2560
ข่าวระบุว่า หุ้นของโกเบสตีลร่วงลง 22 เปอร์เซ็นต์ในวันที่ 10 ตุลาคมมาปิดที่ 1,068 เยนต่อหุ้น (ราว 315 บาท) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่จำกัดให้ราคาหุ้นร่วงลงได้ใน 1 วัน ส่งผลให้มูลค่าของบริษัทหายไปเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ล่าสุดในการซื้อขายภาคบ่ายของวันที่ 11 ตุลาคม หุ้นของบริษัทร่วงลงต่ออีก 19.66 เปอร์เซ็นต์มาปิดที่ 858 เยน (ราว 250 บาท)
ทางบริษัทเปิดเผยว่า การบิดเบือนข้อมูลอาจเริ่มต้นมาเป็นเวลากว่า 10 ปีมาแล้ว ส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ขายให้บริษัทต่างๆ กว่า 200 แห่ง ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าเรื่องอื้อฉาวนี้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์ของพวกเขาหรือไม่
