ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
คนภาคกลางยุคอยุธยาสืบชีวิตอยู่กับฤดูน้ำหลาก เพราะเป็นแหล่งอาหารนานาชนิด
ส่วนฤดูน้ำแล้งมีพิธีเลี้ยงผีบรรพชน เพราะทำนาไม่ได้ ไม่มีน้ำ การอยู่กับน้ำจึงสำคัญมาก
ยุคอยุธยาเมืองน้ำ เป็นชุมชนสะเทินน้ำสะเทินบก เนื่องจากบางแห่งตั้งอยู่ในน้ำ ซึ่งประกอบด้วยบ้านเรือนที่ลอยอยู่เป็นแพ แต่บางแห่งตั้งอยู่ริมฝั่งหรืออยู่ในน้ำตื้นๆ รวมทั้งบริเวณที่น้ำท่วมจะประกอบด้วยเรือนไม้ยกพื้นสูง
ลักษณะอย่างนี้คนยุคปัจจุบันควรเรียนรู้เพื่อความอยู่รอดของตนเอง เพราะหลายชุมชนต้องผจญน้ำท่วมนานนับเดือนในแต่ละปีเมื่อถึงฤดูฝนน้ำหลาก
มีตัวอย่างในหนังสือ น้ำ บ่อเกิดวัฒนธรรมไทย ของ สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา (สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2529 หน้า 178) จะคัดมาโดยสรุปดังนี้
ชุมชนสะเทินน้ำสะเทินบก
ความเป็นอยู่แบบสะเทินน้ำสะเทินบก ลักษณะเห็นได้ชัดที่สุด คือ ต. บางลี่ อ. สองพี่น้อง จ. สุพรรณบุรี ตั้งอยู่ในที่ลุ่มเป็นอ่างกระทะ อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างเป็นเรือนไม้สองชั้น ชั้นบนทำเป็นระเบียงให้คนเดินติดต่อกันได้ทั่วทั้งชุมชน
ในฤดูแล้งรถยนต์วิ่งไปมาบนถนนระดับพื้นดินอย่างปกติเหมือนกับเมืองอื่นๆ ในละแวกนั้น แต่เมื่อถึงฤดูน้ำหลากชาวบ้านจะเตรียมเก็บข้าวของล่วงหน้าไว้ และก่อนที่น้ำจะมาเพียงวันหรือสองวันก็จะย้ายข้าวของและสินค้าขึ้นไปชั้นบนพร้อมกันทั้งชุมชน
เมื่อย้ายของเสร็จน้ำก็จะหลากมาถึงพอดี ในเวลาเดียวกันรถยนต์จะหายไปจากท้องถนนซึ่งน้ำได้ท่วมกลายเป็นที่สัญจรอันจอแจของเรือนานาชนิดที่จู่ๆ ก็มารวมกันอยู่เต็มไปทั้งเมือง
การเปลี่ยนสภาพจากบกเป็นน้ำของเมืองไม่ปรากฏว่าทำให้ธุรกิจต้องชะงักแต่ประการใด ตรงกันข้ามพอรถยนต์หายไปและเรือเข้ามาแทนที่ กิจการที่เคยอยู่บนพื้นดินก็โผล่ขึ้นไปอยู่บนระดับชั้นสอง เช่น ตลาดกลางใจเมือง ร้านตัดผม ร้านขายยา และร้านอาหาร เป็นต้น
แม้แต่ปั๊มน้ำมันซึ่งเคยบริการรถยนต์อยู่เป็นปกติ พอรุ่งขึ้นกลับย้ายขึ้นไปอยู่ชั้นสองมีเรือยนต์เข้ามาเทียบเรียงกันเป็นแถวเข้าซื้อน้ำมันแทนทันที
ทุกวันนี้ไม่มีให้เห็นแล้วที่บางลี่ นอกจากนั้นสถาบันการศึกษายังยกทิ้งเรื่องวิถีชีวิตอย่างนี้ในประวัติศาสตร์สังคมอยุธยา เพราะมุ่งแต่ศิลปกรรมของวัดกับวัง และสงครามไทยรบพม่า