⦁…ทั้งที่ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หรือที่เรียกกันแบบเข้าใจง่ายๆ ว่า “บัตรเครดิตคนจน” ซึ่งรัฐบาลจัดทำ พร้อมเติมเงินให้คนที่มาลงทะเบียนคนจน คนละ “200 หรือ 300 บาท” ต่อเดือน แล้วติดตั้งเครื่องรูดบัตรที่ “ร้านค้าในชุมชน” และ “ร้านธงฟ้าประชารัฐ” ด้วยความตั้งใจ “ช่วยค่าใช้จ่าย” เมื่อกลับกลายถูกโจมตีว่าเป็น “บัตรเอื้อเจ้าสัว” ด้วยการให้ข้อมูลว่า “เงินเหล่านั้นมีแต่วิ่งเข้าบัญชีธนาคารของบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค” ปรากฏว่า “ผู้คนเชื่อกันเป็นตุเป็นตะ” ว่า “รัฐบาลถูกเจ้าสัวชักนำให้ทำนโยบายเอื้อประโยชน์ตัวเอง” กลายเป็นกระแสแพร่ไปอย่างรวดเร็ว กระทั่ง “รัฐบาล” ซึ่งยืนยันว่าไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรในประเด็นที่ถูกจุดขึ้นมาถล่ม ตั้งตัว “ชี้แจง” แทบไม่ทัน
⦁…แน่นอน ในมุมของ “กระทรวงพาณิชย์” ซึ่งเป็นเจ้าของโปรเจ็กต์นี้ ย่อมต้องส่ายหัวด้วยความเอือมระอาทำนองว่า “บ้านนี้เมืองนี้การเปิดประเด็นเพื่อใส่ร้ายกันเกิดเป็นกระแสได้ง่ายเหลือเกิน” หรืออาจจะคิดต่อไปว่า “อีกหน่อยใครที่คิดจะสร้างผลงานดีๆ คงเลือกที่จะงอมืองอเท้าดีกว่า” เพราะไม่ต้องมาเดือดร้อนกับ “ข้อกล่าวหารุนแรง” แต่หากมองไปอีกมุมหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ต่างกับหลายเรื่องราวที่ผ่านมา ที่ “ผู้คนเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อตามความรักหรือความชังที่มีต่อตัวบุคคลหรือกลุ่มคณะ” มากกว่าที่จะเชื่อใน “ความเป็นเหตุเป็นผลของเนื้อหา”
⦁…ปรากฏการณ์นี้น่าคิดตรงที่ว่า “สภาวะเช่นนี้” เริ่มเกิดบ่อยขึ้นกับ “รัฐบาล” และ “เจ้าสัว” มีความหมายไปถึงการเปลี่ยนแปลงของ “ความรัก ความชัง” ที่มีผลต่อการสร้างกระแสหรือไม่ แค่ไหน เรื่องราวเหล่านี้คล้ายว่าไม่เป็นสาระ แต่ที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า “ได้ผลยอดเยี่ยมมาทุกครั้งสำหรับเกมมุ่งทำลายโดยไม่สนความเป็นจริง” อาจบางที “ประเด็นห้ามซื้อขายเมล็ดพันธุ์พืช” ที่เริ่มจุดกันขึ้นมา จะเป็น “เกมต่อเนื่อง” ที่ว่าด้วย “รัฐบาลสมคบเจ้าสัวผูกขาดผลประโยชน์ชาติ” ซึ่งน่ากลัวใน “พลังทำลายล้างจากผลของเกม” ดังนั้นเรื่องที่คล้ายจะ “ล้อกันเล่น” แต่ผู้รับผล “อย่าทำเป็นล้อเล่นเชียว”
⦁…แม้จะอีก “ปีกว่า” ที่ “การเลือกตั้ง” จะมีขึ้นตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะปรับยุทธวิธีการเมืองจาก “คลุมเครือเข้าไว้” มาเป็น “ชัดเจน” ด้วยการประกาศว่าจะ “ตั้งหีบให้ประชาชนใช้สิทธิพฤศจิกายนปีหน้า” แต่เท่ากับ “ปี่กลองการหาเสียงของพรรคการเมืองย่อมเริ่มที่จะต้องโหมโรงกันแล้ว” และนั่นหมายถึง ไม่เพียงแต่การจัดระเบียบพรรคให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่เท่านั้น ทว่าย่อมต้องเลยไปถึงการประเมินประเด็นที่จะชูขึ้นมานำเสนอ “ประชาชน” เพื่อเรียกคะแนน
⦁…ในความเป็นไปของยุคสมัยที่ “นโยบายของพรรค” เอามาใช้เป็นจุดขายไม่ได้เสียแล้ว เพราะถูกตีกรอบไว้เรียบร้อยด้วย “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ที่บังคับให้ทำตามด้วยกฎหมายซึ่งมีบทลงโทษรุนแรง ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องสู้กันที่ “ใครหรือพรรคไหน” คำนึงถึง “ประชาธิปไตย” อันเป็น “สิทธิที่เท่าเทียมกันของประชาชนมากกว่า” หากทิศทางการกำหนดแนวหาเสียงออกมาเป็นเช่นนี้ เกมการเมืองจะกลับไปสู่ยุค “ผู้มีอุดมการณ์ต่อต้านเผด็จการ” จะโดดเด่นขึ้นมา ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นคงประเมินกันไม่ยากว่า “ใครจะเป็นเป้าหมายแห่งการถูกถล่ม”
⦁…แน่นอนว่า เมื่อพรรคหนึ่ง “ประกาศสู้อย่างแข็งกร้าว” เพราะ “ไม่มีทางเลือกอื่น” มีความเป็นไปได้ที่อีกพรรคซึ่งเป็น “คู่แข่ง” จะเลือกนำเสนอ “แนวทางประนีประนอมกับอำนาจ” และที่สุดแล้ว “ประชาชน” จะเป็นผู้ตัดสินใจว่า “พรรคแบบไหน” ที่ควรให้ความศรัทธา ที่น่าสนใจคือ “ผลของการตัดสินใจ” จะเกิดจาก “เหตุ” ที่มาจาก “ผลงานของผู้มีอำนาจที่บางพรรคยอมซุกปีกจะได้รับการยอมรับจากประชาชนมากแค่ไหน”
⦁…แม้ด้วย “กติกาใหม่” ที่จะทำให้ผลการเลือกตั้งกลายเป็น “เบี้ยหัวแตก” ไม่มีพรรคการเมืองไหนได้ “เสียงข้างมาก” และ “ความอ่อนแอของพรรคการเมืองที่เกิดจากคะแนนเสียงกระจัดกระจาย” จะเอื้อต่อการมอบประโยชน์สูงสุดให้ “คนกลาง” ทำนอง “ตาอยู่หยิบชิ้นปลามัน” ทว่าถึงอย่างไร “เวทีหาเสียง” จะเริ่มขึ้น ซึ่งน่าจะเป็น “ณ บัดนี้” เป็นต้นไป บนเวทีนี้ “ประชาชน” ซึ่งเป็น “เจ้าของคะแนนเสียง” จะถูกเชิดชู ประเด็นที่น่าพิจารณาอยู่กับคำถามที่ว่า “พอจะเดาได้ไหมว่าวิธีการที่จะทำให้ได้ใจ จะต้องชี้ให้ประชาชนเห็นอะไร”
ชโลทร