ศาลคดีทุจริตฯชี้’สมบัติ-บรรเจิด’อดีตอธิการ-คณบดีนิด้า ผิดม.157 ไม่ปล่อย’ป.โท’จบ รอกำหนดโทษ3ปี

เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ2สำนวน ที่ อท.(ผ) 95/2559 และ 45/2559ซึ่งได้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยศาลพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดง อท. (ผ.) 35/2560 ที่นายธนกฤต ปัญจทองเสมอ หรือนายสมศักดิ์ ทองเสมอ นักศึกษาปริญญาโท สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตอธิการบดีนิด้า จำเลยที่ 1 นายประดิษฐ์ วรรณรัตน์ จำเลยที่ 2 นายบรรเจิด สิงคะเนติ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ นิด้า จำเลยที่ 3 นายนเรศร์ เกษประยูร จำเลยที่ 4 นายสุนทร มณีสวัสดิ์ จำเลยที่ 5

น.ส.วริยา ล้ำเลิศ จำเลยที่ 6 น.ส.วนาภรณ์ วนาพิทักษ์ จำเลยที่ 7 นายกิตติภูมิ เนียมหอม จำเลยที่ 8 นางอัจชญา สิงคาลวาณิช จำเลยที่ 9 น.ส.ภัทริน วรเศรษฐมงคล จำเลยที่10 นายธวัชชัย ศุภดิษฐ์ จำเลยที่ 11 น.ส.บุญอนันต์ พินัยทรัพย์ จำเลยที่ 12 นายบุญชัย หงส์จารุ จำเลยที่ 13 น.ส.อมรรัตน์ อภินันท์มหกุล จำเลยที่ 14 น.ส.วัชรีภรณ์ ไชยมงคล จำเลยที่ 15 นายพิชัย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จำเลยที่ 16 นายสมบัติ กุสุมาวลี จำเลยที่ 17 นายสุดสันต์ สุทธิพิศาล จำเลยที่ 18 นางอุบลวรรณ เปรมศรีรัตน์ จำเลยที่ 19 นายปราโมทย์ ลือนาม จำเลยที่ 20 น.ส.รุ่งทิพย์ ศิริปิ่น จำเลยที่21 และ น.ส.จารุณี พันธ์ศิริ จำเลยที่ 22

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนักศึกษาของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เรียนจบภาควิชาการจำนวน 24 หน่วยกิตแล้ว มีผลการเรียนเกรดเฉลี่ย 4.00 และโจทก์สอบผ่านวิชาวิทยานิพนธ์ตามระเบียบของคณะนิติศาสตร์และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ทางขั้นตอนการสอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์และสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ผ่านในระดับดี จัดทำรูปเล่มตามข้อแนะนำจากคณะนิติศาสตร์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์และผ่านการอนุมัติรูปแบบ เล่มวิทยานิพนธ์ตามระเบียบของสำนักบรรณสารการพัฒนาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โจทก์ได้ส่งเล่มวิทยานิพนธ์จำนวน 4 เล่มพร้อมแผ่น CD หนึ่งแผ่นครบตามหลักเกณฑ์ของคณะนิติศาสตร์และของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์แล้ว จึงมีสิทธิจบการศึกษาตามความในข้อ 79 (6) และข้อ 42 แห่งข้อบังคับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ว่าด้วยการศึกษา พ.ศ.2549 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

แต่จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกัน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เนื่องจากไม่พอใจที่โจทก์ร้องเรียนการดำเนินงานการบริหารคณะนิติศาสตร์ของจำเลยที่ 3 ที่ดำเนินการไม่เรียบร้อย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์และนักศึกษา โดยโจทก์ร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆตั้งแต่ปี 2554 เรื่อยมา ทำให้โจทก์ไม่สำเร็จการศึกษา ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157 เรียกค่าเสียหายคดีแรกเป็นค่าลงทะเบียนค่าใช้จ่ายในการเรียน ถ้าขาดประโยชน์จากการที่จะได้รับเงินเพิ่มตามวุฒิการศึกษาที่เพิ่มขึ้นรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 604,700 บาท เรียกค่าเสียหายเป็นเงินค่าเล่าเรียนค่าใช้จ่ายในการเรียน และค่าขาดประโยชน์ที่จะได้รับหากโจทก์สำเร็จการศึกษา รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,484,700 บาท จำเลยทั้ง22ให้การปฏิเสธ

Advertisement

ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อความผิดพลาดทั้งหลายในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการทำวิทยานิพนธ์ของโจทก์เป็นผลจากการที่คณะนิติศาสตร์เป็นคณะที่เพิ่งเปิดใหม่ อาจารย์ในคณะมาจากหน่วยงานอื่นๆ ยังมีความเข้าใจไม่เพียงพอในเรื่องโครงสร้าง หลักเกณฑ์ ขั้นตอน กระบวนการ แนวปฏิบัติดังที่ปรากฏในบันทึกข้อความของคณะนิติศาสตร์ เอกสารในสำนวน การแก้ไขความผิดพลาดควรเป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่การแก้ไขดังกล่าวหากก่อให้เกิดผลกระทบแก่ผู้เกี่ยวข้อง จะต้องคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนด้วย เป็นปัญหาในทางปกครอง

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องอันเนื่องมาจากการที่โจทก์มีกรณีร้องเรียนหรือขอให้มีการตรวจสอบการดำเนินการของจำเลยที่ 3 ต่อเนื่องตลอดมา ทำให้เชื่อว่ากระบวนการตัดสินใจดำเนินการของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคู่กรณีโดยตรงกับโจทก์ที่ร้องเรียนให้ตรวจสอบโดยเปิดเผยตัวตนชัดเจน ทำให้เชื่อว่าเป็นมูลเหตุจูงใจให้จำเลยที่ 3 เลือกตัดสินใจกระทำการโดยเลือกกระบวนการที่ทำให้โจทก์ได้รับผลกระทบมากเกินสัดส่วนของประโยชน์ที่สาธารณะจะได้รับและกระทำโดยเจตนาที่จะยังไม่ให้โจทก์สำเร็จการศึกษา อันอยู่ในขอบข่ายของความรับผิดทางอาญา ในส่วนการกระทำของจำเลยอื่นๆ แม้มีความเชื่อมโยงในทางที่ใกล้เคียงที่จะมีมูลเหตุจูงใจเพียงพอถึงขั้นเป็นคู่กรณีกับโจทก์ดังเช่นจำเลยที่ 4 ได้ แต่ตามพยานหลักฐานยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอที่จะให้ต้องรับผิดทางอาญา

รวมทั้งจำเลยที่2กับจำเลยอื่นในคณะกรรมการ ทคอ. การศึกษา ปรากฏเพียงการร่วมลงมติตามข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 3 นำเสนอ ทั้งตามพยานหลักฐานไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยแต่ละคนในคณะกรรมการ ทคอ. การศึกษามีความเห็นชัดเจนอย่างไร ทั้งโจทก์ไม่ได้สร้างความชัดเจนในส่วนนี้จึงไม่เพียงพอที่จะต้องให้รับผิดทางอาญา ส่วนจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจำเลยที่ 3 แต่ในการวินิจฉัยสั่งการกลับกระทำเพียงให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ตรวจสอบและนำเสนอข้อเท็จจริง ทั้งที่โจทก์ร้องเรียนกล่าวโทษจำเลยที่ 3 และกระทำในลักษณะดังกล่าวหลายครั้ง แต่โดยความมุ่งหมายเดียวในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

จนทำให้เชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่ให้โจทก์สำเร็จการศึกษาเช่นกัน อย่างไรก็ตามการกระทำของจำเลยที่ 1และ 3 เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน ที่จะยังไม่ให้โจทก์สำเร็จการศึกษาทั้งในคดีแรกและคดีที่สอง แม้จะเป็นการกระทำคนละเวลากัน แต่เป็นการกระทำโดยมีความมุ่งหมายเดียวกันในระยะเวลาและตามขั้นตอนที่ต้องอาศัยเวลาและต่อเนื่องกัน เพียงแต่การกระทำที่ต่อเนื่องกันดังกล่าวเป็นการยืนยันถึงเจตนาของจำเลยที่ 1และ 3 การกระทำของจำเลยที่ 1 และ 3จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว

ในส่วนที่เกี่ยวกับความเสียหายที่แม้โจทก์จะกล่าวไว้ในฟ้องทั้ง2คดี แต่มีเพียงคำขอท้ายฟ้องเพียงคดีเดียวให้ชดใช้เงินจำนวน604,700 บาท แต่ตามทางนำสืบไม่มีรายละเอียดของความเสียหายแม้จะมีรายละเอียดในส่วนของค่าเล่าเรียน แต่เนื่องจากโจทก์ได้รับประโยชน์จากผลของการเรียนการสอนที่ผ่านมา ทั้งความผิดพลาดในด้านเอกสารที่เกี่ยวข้องโจทก์ก็มีส่วนที่ก่อให้เกิดด้วยจึงไม่กำหนดค่าเสียหายให้

พิพากษาว่าจำเลยที่ 1และที่ 3 มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นข้าราชการและนักวิชาการ ที่ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดเห็นสมควรรอการกำหนดโทษเป็นเวลา 3 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5ถึง 22 คำขออื่นทั้งในส่วนอาญาและในส่วนแพ่งให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image