ผกก.แม่อาย เผยเริ่มสอบฝ่ายปกครอง-ญาติพี่น้อง “พระราชรัชมุนี” หลังรับเรื่องเจ้าอาวาสวัดสวนดอก สวมบัตร ปชช.คนตายแล้ว ส่งหนังสือให้มารับทราบข้อกล่าวหา-ให้ปากคำ บอกไม่กังวล-หนักใจ เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ด้านผู้ใหญ่บ้านร่มไทย เผยอพยพมาจากเมืองยอน ขึ้นทะเบียนเป็นผู้พลัดถิ่น ยันไม่ใช่คนไทย ล่าสุดมาร่วมทำบุญงานต๋านก๋วยสลาก ที่วัดในหมู่บ้าน เมื่อ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนหายตัวเข้ากลีบเมฆ
กรณีอำเภอแม่อาย จ.เชียงใหม่ ได้มอบหมายให้นายวิเศษ ผงนอก ปลัด อ.แม่อาย เจ้าพนักงานปกครองระดับชำนาญการ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.แม่อาย กรณีพระราชรัชมุนี เจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง ต.สุเทพในฐานะเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ได้สวมบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักของ ด.ช.ดวงดี เวียงดินดำ บ้านหนองดินดำ ต.บ้านแก้ง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ที่
เสียชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2538 ต่อมาญาติพี่น้องผู้ตายได้แจ้งการเสียชีวิต กระทั่งสำนักทะเบียนราษฎร์ ได้บันทึกการเสียชีวิต และออกใบมรณบัตร เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยกล่าวหาพระราชรัชมุนีว่ายื่นคำขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทย ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงาน อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย และแจ้งให้เจ้าพนักงาน ผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารมหาชน มีวัตถุประสงค์สำหรับการใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน เหตุเกิดที่ อ.แม่อาย เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2552 เวลากลางวัน ทั้งที่พระราชรัชมุนี มีบิดามารดา เป็นสัญชาติเมียนมา อาศัยอยู่แนวชายแดนติดกับ อ.แม่อาย ซึ่งการกล่าวทุกข์ร้องโทษ เป็นไปตามข้อสั่งการของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ให้จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอแม่อาย ตวจสอบเรื่องดังกล่าว โดยเข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น
วันที่ 13 ตุลาคม 2560 พ.ต.อ.ก่ำแก้ว สุยาติ ผกก.สภ.แม่อาย เผยถึงความคืบหน้าคดีดังกล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบพยาน ทั้งฝ่ายปกครอง ญาติพี่น้องของพระราชรัชมุนี และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบสำนวนคดี ซึ่ง พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และ พล.ต.ต.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บังคับการตำรวจภููธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้สั่งการให้ดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ ทำสำนวนอย่างรัดกุม แต่ไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาเสร็จเมื่อใด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานเป็นหลัก
“หลังจากนี้จะส่งหนังสือไปยังภูมิลำเนาของพระราชรัชมุนี เพื่อนิมนต์มารับทราบข้อกล่าวหา และให้ปากคำ เพื่อประกอบสำนวนคดี หากเดินทางมาตามนัดหมายอาจสอบปากคำที่สถานีตำรวจ หรือสถานที่ที่ผู้บังคับบัญชาเห็นเหมาะสม คดีดังกล่าว ฝ่ายปกครองสามารถมาร่วมสอบสวนได้ เนื่องจากมีอำนาจหน้าที่เหมือนตำรวจ ขึ้นอยู่กับว่าผู้บังคับบัญชา จะให้ตั้งคณะทำงานให้ฝ่ายปกครองร่วมสอบสวนหรือไม่ ซึ่งคดีดังกล่าว ส่วนตัวไม่รู้สึกกังวัล หรือหนักใจ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย หรือกระบวนการยุติธรรม” พ.ต.อ.ก่ำแก้วกล่าว
นายพัฒนพงศ์ อิทนะ ผู้ใหญ่บ้านบ้านร่มไทย หมู่ 14 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศพม่า กล่าวว่า พระราชรัชมุนี และครอบครัว อพยพหนีภัยสงครามมาจากเมืองยอน ประเทศพม่า มาตั้งรกรากที่หมู่บ้านดังกล่าว โดยพระราชรัชมุนี ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้พลัดถิ่น จึงมีสถานะเป็นชาวต่างด้าว ไม่ใช่คนไทย ต่อมาได้บวชเป็นสามเณร พระภิกษุ และจำพรรษาที่วัดท่าตอน ซึ่งบิดามารดาของพระราชรัชมุนี ได้เสียชีวิตแล้ว เหลือเพียงญาติพี่น้องที่ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว
“บ้านร่มไทย เป็นหมู่บ้านไทใหญ่ เป็นชาวน้ำยอน กว่า 90% ที่เหลือเป็นคนพื้นราบ ซึ่งผมเป็นคนอีสาน มาอาศัยอยู่หมู่บ้านดังกล่าว เมื่อปี 2540 แต่เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อปี 2555 หรือ 5 ปีที่ผ่านมา จึงไม่ทราบว่าพระราชรัชมุนี สวมบัตรประชาชนแทนผู้ตายเมื่อใด เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งบ้านร่มไทย เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ มีประชากร 1,900 กว่าคน จำนวน 480 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ” นายพัฒนพงศ์กล่าว
นายพัฒนพงศ์กล่าวอีกว่า หลังพระราชรัชมุนีได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่วัดสวนดอก ในตัวเมืองเชียงใหม่ นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านและญาติพี่น้อง ล่าสุดพระราชรัชมุนีได้มาร่วมงานต๋านก๋วยสลาก หรือสลากภัตร ที่วัดภาวนานมิตร พุทธโธ ซึ่งเป็นวัดภายในหมู่บ้าน เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม หรือ 7 วันที่ผ่านมา โดยมาร่วมทำบุญเพียงวันเดียวเท่านั้น ก่อนเดินทางออกจากวัด ไม่ได้กลับมาอีก และไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งทางหมู่บ้าน พร้อมให้ฝ่ายปกครองและตำรวจ ตรวจสอบข้อมูล และให้ข้อเท็จจริง พร้อมให้ความร่วมมือทุกด้าน แต่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ประสานมาอย่างใด
