Blade Runner 2049 หนังภาคต่อที่สมบูรณ์ในตัวเอง

Blade Runner 2049 หนังภาคต่อที่สมบูรณ์ในตัวเอง

Blade Runner 2049 หนังภาคต่อที่สมบูรณ์ในตัวเอง

Blade Runner ภาคแรก ซึ่งกำกับโดย ริดลีย์ สก็อตต์ (ผู้กำกับ Alien ,Gladiator , Black Hawk Down ,The Martian) เป็นหนังไซไฟปรัชญาโลกดิสโทเปีย (โลกอนาคตที่เทคโนโลยีก้าวหน้า แต่ชีวิตเสื่อมโทรม) ที่ถูกกล่าวถึงว่าเป็นหนังที่มาก่อนยุคสมัยและกาลเวลา เพราะประเด็นในหนังล้ำมาก

เมื่อออกฉายในปี 1982 ไม่ประสบความสำเร็จ จนคนเรียกหนังเรื่องนี้ว่า คัลท์ฟิลม์ (หนังที่มีคนดูเฉพาะกลุ่ม เล่าเรื่องต่างจากเทคนิคทั่วไปที่เคยชิน แถมอัดแน่นด้วยเรื่องที่เข้าใจยาก)

แม้ต่อมา Blade Runner จะได้รับรางวัล Hugo Award สาขา Best Dramatic Presentation และมีเวอร์ชั่นตัดต่อออกมาถึง 7 เวอร์ชั่น รวมทั้งที่ ริดลีย์ สก็อตต์ควบคุมเอง Ridley Scott’s Final Cut แต่ก็ใช้เวลานานมากกว่าคนดูจะเปิดใจยอมรับและได้กลายเป็นหนังมาสเตอร์พีซ

อย่างไรก็ตาม Blade Runner เป็นหนังที่มีอิทธิพลและสร้างแรงบันดาลใจให้กับหนังไซไฟยุคหลังๆ ทั้ง The Fifth Element, Ghost in the Shell

Advertisement

แม้แต่หนังเรื่อง Prometheus ที่ สก็อตต์ กำกับ ก็ยังใส่ตัวละคร เอลดอน ไทเรลล์ CEO ของบริษัทไทเรลล์ที่ผลิตมนุษย์เทียม (Replicants) ใน Blade Runner เข้าไปในฐานะที่ปรึกษาของเจ้าของยานโพรมีธีอุส หนัง Alien Covenant ก็มีตัวละครสำคัญ เดวิท 8 ที่เป็น Replicant

Blade Runner 2049 เป็นหนังภาคต่อของ Blade Runner ภาคแรก (ซึ่งพูดถึงโลกปี 2019) โดยสก็อตต์นั่งแท่นโปรดิวเซอร์ และให้ เดนิส วิลเลอเนิฟ กำกับ

ซึ่งวิลเลอเนิฟได้พูดถึงหนังเรื่องนี้ว่า “Blade Runner เป็นการปฏิวัติทางสุนทรียศาสตร์ มันผสมผสานหนังสองแนวที่ไม่เข้ากันเลย นั่นคือ ไซไฟและฟิล์มนัวร์ และเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำหรือเห็นมาก่อน…… ความไว้วางใจที่ให้ผมรับผิดชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ มันเป็นหนึ่งในคำชมที่ยอดเยี่ยมที่สุด ในอาชีพการงานของผมเลย”

Advertisement

ความปลื้มที่วิลเลอเนิฟมีต่อหนังภาคแรก ทำให้แนวทางกำกับหนังภาคต่อ มีความคารวะต่อภาคแรกเป็นอย่างมาก สานต่อเรื่องราวโลกอนาคตที่ล้ำยุค ในบรรยากาศที่ยังคงไว้ซึ่งสภาพภูมิอากาศที่ถูกทำลาย ที่อยู่อาศัยและประชากรอยู่อย่างแออัดเสื่อมโทรม ขณะที่นอกเมืองรกร้างและเป็นที่ทิ้งขยะ การออกแบบเมือง สถาปัตยกรรม เป็นสไตล์ดิสโทเปียจริงๆ ยานพาหนะ สิ่งของเครื่องใช้พัฒนาก้าวไกล สวนทางกับจิตใจมนุษย์ที่ยังคงแสวงหาความยิ่งใหญ่ และมีการแบ่งแยกชนชั้น

หนังเล่าเรื่องเนิบๆ มีกลิ่นอายฟิล์มนัวร์ ที่ออกแนวสืบสวน ดำเนินเรื่องหลังภาคแรก 30 ปี คนดูจะค้นหาความจริงไปพร้อมกับตัวละครเอก เจ้าหน้าที่ตำรวจ LAPD เค (ไรอัน กอสลิ่ง) ที่มีหน้าที่ตามกำจัดมนุษย์เทียมรุ่น Nexus 8 หลังจากเขากำจัด แซปเปอร์ มอร์ตัน (เดฟ บาทิสตา) เขาได้พบหลักฐานที่นำไปสู่การตามหาตัว ริค เดคการ์ด (แฮริสัน ฟอร์ด) เบลดรันเนอร์ที่หายตัวไปกว่าสามสิบปี พร้อมกับเรเชล มนุษย์เทียมที่ผลิตโดยบริษัทไทเรลล์

แม้บริษัทไทเรลล์จะล่มสลาย แต่การผลิตมนุษย์เทียมยังคงมีอยู่โดย วอลเลซ (จาเร็ด เลโด) ผู้นำบริษัทที่คลั่งอำนาจ ซึ่งต้องการตัวเดคการ์ด เพื่อค้นหาความลับเกี่ยวกับการสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพของมนุษย์เทียม

เนื้อเรื่องและหนังตัวอย่างตามที่ปรากฏ เหมือนจะเป็นหนังแอคชั่นไล่ล่ากันแบบล้างผลาญ แต่แท้จริงไม่ใช่เลย หนังออกแนวดาร์ก เป็นหนังไซไฟที่ค่อนข้างดราม่า ทั้งอาร์ตและอินดี้ ความยาวเกือบสามชั่วโมงทำให้ต้องดูอย่างตั้งใจและคิดตามนัยยะที่แฝงอยู่ หนังดูง่ายกว่าภาคแรก มีบทสนทนามากขึ้น ทำให้ไม่ต้องคิดมากหรือตีความหนักแบบภาคแรก

Blade Runner ไม่ใช่หนังแมสที่สนุกสนานแบบที่ใครๆ ก็ดูได้ แต่เป็นหนังที่ขอคาดการณ์ว่า น่าจะคว้าออสการ์รางวัลใดรางวัลหนึ่งในปีนี้

คนดูเข้าไปชมไม่ใช่เพื่อความบันเทิง แต่เพื่อเสพงานภาพที่สวยงาม (ฝีมือ โรเจอร์ ดีคินส์ ผู้กำกับภาพที่ผลงานเคยเข้าชิงออสการ์ถึง 13 ครั้ง) ฟังซาวด์ประกอบที่กระหึ่มและบิวด์อารมณ์ (ผู้ประพันธ์เจ้าของออสการ์ ฮานส์ ซิมเมอร์ จาก The Lion King ร่วมด้วย เบนจามิน วอลฟิลซ์ จาก It และ Annabelle Cration)

การแสดงที่เข้มข้นของไรอัน กอสลิ่งที่แบกหนังไว้ทั้งเรื่อง ต้องแสดงอารมณ์หลากหลายในสีหน้านิ่งๆ แฮริสัน ฟอร์ด ที่แก่แต่เก๋าไม่ทิ้งลายเสือเฒ่า จาเร็ด เลโต้ ดาราออสการ์จาก Dallas Buyers Club ที่แม้จะโผล่มาไม่มาก แต่รังสีอำมหิตชัดเจนจนลบภาพโจ๊กเกอร์จาก Suicide Squad

ยังมีตัวละครอื่นๆ ที่น่าสนใจ เดนิส วิลเลอเนิฟ พูดว่า Blade Runner จะโฟกัสไปที่ตัวละครหญิงและตัวละครหญิงคืออาวุธลับของหนัง

ต้องบอกว่า ผู้หญิงในหนังเรื่องนี้สวยทุกคนตั้งแต่นางเอก จอย (อนา เดอ อาร์มาดี นางเอกหนัง Overdrive 2016) โฮโลแกรมปัญญาประดิษฐ์ ที่เป็นคู่รักพระเอก ยันผู้ร้าย เลิฟ (ซิลเวีย โฮคส์) มือสังหารของวอลเลซ แม้กระทั่งหัวหน้าพระเอกก็แสดงโดยโรบิน ไรท์ (แม่ทัพหญิงคนเก่งใน Wonder Woman) ร่วมด้วยสาวสวยอีกสองคน นักวิทยาศาสตร์สาว และนางนกต่อที่แม้ไม่มีบทมาก แต่ก็เป็นตัวสำคัญและทำให้หนังมีสีสันน่าดูขึ้น

อาจจะมีคำถามว่า เมื่อเป็นหนังภาคต่อที่ทิ้งช่วงเวลานานกว่า 30 ปีเช่นนี้ จำเป็นต้องดูภาคแรกไหม ความจริงไม่จำเป็นต้องดู เพราะมีสรุปประเด็นสำคัญตอนเริ่มเรื่อง แต่สำหรับคนที่ดูหนังแล้วชอบ อาจหาภาคแรกมาดู เพื่อให้เกิดความฟินยิ่งขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image