ได้เห็นพสกนิกรที่หลั่งไหลเข้าถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มากมายมิขาดสาย ต่อคิวรอกันเป็นกิโลเมตรโดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยแล้ว แสดงให้โลกนี้ได้รู้และได้คิดว่านี่คือการแสดงความกตัญญูรู้คุณของประชาชนคนไทยต่อพระประมุขของประเทศที่จะหาที่ใด ประเทศใด ชนเผ่าใด มาเปรียบเทียบได้ยากยิ่ง
พระเมตตาอันไม่รู้จบที่พระองค์ท่านได้ทรงแผ่ให้แก่พสกนิกรของท่านอย่างทั่วถึง โดยไม่ได้สนพระทัยว่าเป็นใครจากศาสนาใด สีใด พวกใด ภาคใด ได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าพสกนิกรได้ตระหนักและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนต่างจังหวัด คนในชนบทที่ห่างไกลกรุงเทพมหานคร ยิ่งพากันมาแสดงความอาลัยด้วยความจงรักภักดีที่จริงใจอย่างหาที่สุดมิได้ เป็นสัดส่วนที่เหมือนจะมากกว่าคนกรุงด้วยซ้ำ
โดยสรุปแล้วในช่วงเวลาหนึ่งขวบปีที่ผ่านมา มีประชาชนไปเข้าถวายสักการะพระบรมศพถึง 13 ล้านคน หรือถึงหนึ่งในห้าของประชากรไทยทั่วประเทศ จึงขอให้ท่านผู้นำตลอดจนผู้บริหารประเทศของเราใช้เวลาคิดไตร่ตรองถึงสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทรงทำด้วยความเหนื่อยยากมาตลอดเพื่อประชาชนของท่าน
ความตื้นตันใจของผู้เขียนที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง เป็นคนไทยที่รู้สึกเสมอว่าพระองค์ท่านได้อยู่ดูแลเราอยู่ตลอดเวลา วันนี้จึงรู้สึกว่าจะเขียนเรื่องอะไรไม่ออก นอกจากจะขออนุญาตกล่าวถึงผู้บริหารประเทศในรัฐบาลนี้ว่า ขอให้ท่านนำพาประเทศชาติตามรอยพระยุคลบาท และขอให้มุ่งมั่นทำให้ถูกต้องตามวิถีทางรอยพระยุคลบาท
หากมองย้อนอดีตนับตั้งแต่พระองค์ท่านทรงครองราชย์ ภายหลังทรงเสร็จสิ้นการศึกษาเป็นต้นมา ท่านได้เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกระแหงของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามถิ่นกันดารทั่วทุกภาคที่คนจนและคนไทยชาวเขาเผ่าต่างๆ ทำมาหากินอยู่ จากนั้นพระองค์ท่านได้ทรงริเริ่มโครงการสร้างอาชีพให้ประชาชนของท่านให้มีที่ทางทำมาหากิน ทรงเปลี่ยนจากไร่ฝิ่นเขาหัวโล้นทางภาคเหนือมาเป็นแหล่งปลูกผักผลไม้ ตลอดทั้งสวนดอกไม้ให้ประชาชนสุขใจ ตัวอย่างเช่น โครงการดอยอ่างขางที่มีพระราชดำริตั้งแต่ปี 2512 หรือร่วม 50 ปีมาแล้ว
พื้นที่ใดที่ไม่มีน้ำพอ ซึ่งตามข้อเท็จจริงประเทศไทยนั้นมีน้ำฝนเหลือใช้ในทุกพื้นที่ แต่ประชาชนไม่รู้จักเก็บกัก ส่วนราชการที่รับผิดชอบก็ไม่รู้จักทำโครงการให้ทั่วถึง มัวแต่ทำตนเป็นคนตาบอดคลำช้างตลอดมา พระองค์ท่านจึงต้องทรงเหนื่อยยาก ในการไปสำรวจตรวจสอบเรื่องน้ำไปทั่ว แล้วได้พระราชทานโครงการพระราชดำริในการเก็บกักน้ำจนถึงการจัดให้มีระบบชลประทานไปทั่ว ตลอดเวลา 65 ปีที่พระองค์ท่านทรงตรากตรำงาน ฝนฟ้าซึ่งเทวดาและธรรมชาติจัดให้บางทีก็แห้งแล้ง พระองค์ท่านก็ได้ทรงคิดค้นโครงการฝนหลวงขึ้นมา จากหน่วยงานเล็กๆ จนกระทั่งมีการจัดตั้งหน่วยงานระดับกรมขึ้นมาในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชื่อว่า “กรมฝนหลวงและการบินเกษตร” ได้งบประมาณปีละ 2,000 กว่าล้านบาท ซึ่งกรมนี้นับได้ว่าเป็นกรมที่ทำงานแบบมีวิสัยทัศน์และเอาจริงเอาจังมากที่สุด เมื่อเทียบกับกรมอื่นๆ ในกระทรวงเดียวกัน ที่มองดูเหมือนเป็นไดโนเสาร์เสียเป็นส่วนใหญ่
หรือกรณีน้ำท่วม พระองค์ท่านก็ได้ทรงคิดโครงการรักษาป่าต้นน้ำรวมทั้งโครงการฝายกั้นน้ำและเขื่อนให้โดยเฉพาะในภาคเหนือ เช่น ที่เชียงใหม่ เชียงราย น่าน และแม่ฮ่องสอน เป็นต้น
ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ท่านรวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ได้ทรงริเริ่มทำสารพัดโครงการตามพระราชดำริตั้งแต่ปี 2495 เป็นต้นมา นับได้ถึง 4,685 โครงการ พสกนิกรของท่านได้ทราบกันแค่ไหนบ้าง กล่าวได้ว่าถ้าหากพระองค์ท่านไม่เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ประชาชนแทบจะไม่รู้กันเลยว่า โครงการตามพระราชดำริมีมากมายในทั่วทุกภาคของประเทศ มากเกินกว่าที่ใครจะคิดได้ มากเกินกว่าที่จะเอาความคิดริเริ่มโครงการของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยทุกรัฐบาลมารวมกันเสียอีก
หากมองไปที่ผลงานของรัฐบาลภายใต้ผู้นำทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร จะพบว่าโครงการต่างๆ ที่คิดค้นขึ้นมาทำนั้น มีเพียงครึ่งเดียวที่นับว่าใช้ได้ สามารถบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนได้ แต่อีกครึ่งหนึ่งจะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติน้อยมาก ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นโครงการที่เผาผลาญงบประมาณจากภาษีอากรของประชาชนเสียมากกว่า
ตามรายงานการรวบรวมข้อมูลโครงการพระราชดำริ ที่จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือที่เรียกชื่อว่า “สำนักงาน กปร.” ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการประสานงาน ควบคุม กำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รายงานเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 ได้ชี้ให้เห็นชัดว่า โครงการพระราชดำริได้มีอยู่ในทุกจังหวัดในประเทศ จังหวัดที่เจริญมากพอหรือจังหวัดเล็กๆ เช่น นนทบุรี ภูเก็ต สิงห์บุรี และพิจิตร อย่างน้อยก็มี 3 โครงการ อย่างน้อยทุกจังหวัดจะต้องมีโครงการด้านแหล่งน้ำหนึ่งโครงการ ยอดรวมโครงการด้านแหล่งน้ำมีทั้งหมดถึง 3,204 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 70 ในโครงการพระราชดำริทั้งหมด 4,685 โครงการ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญเรื่องน้ำเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในโครงการทั้งหมด 8 ประเภท รองลงมาเป็นด้านสวัสดิการสังคมและการศึกษา 393 โครงการ หรือร้อยละ 8.4 ด้านการส่งเสริมอาชีพ 341 โครงการ หรือร้อยละ 7.3 ด้านบูรณาการและอื่นๆ 258 โครงการ หรือร้อยละ 5.5 ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเภท ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการเกษตร ด้านคมนาคมและการสื่อสาร และด้านสาธารณสุข พระองค์ท่านก็ได้พระราชทานโครงการลดหลั่นกันลงไป ซึ่งจังหวัดที่มีโครงการมากที่สุด คือ เชียงใหม่ 622 โครงการ รองลงมาคือ นราธิวาส 383 โครงการ สกลนคร 287 โครงการ
ถ้าแยกเป็นรายภาคก็เป็นไปตามความต้องการพัฒนาที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่ กล่าวคือ ภาคเหนือมี 1,770 โครงการ มากที่สุด รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,178 โครงการ ภาคใต้ 908 โครงการ ภาคกลาง 805 โครงการ ในภาคกลางโปรดสังเกตว่ากรุงเทพมหานครมีโครงการพระราชดำริถึง 60 โครงการ เป็นโครงการด้านสวัสดิการสังคมและการศึกษา 15 โครงการ และด้านแหล่งน้ำ 14 โครงการ เห็นดังนี้แล้ว พอจะเห็นภาพการทำงานของกรุงเทพมหานครที่ผ่านมาว่ามีความอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพขนาดไหน เป็นทั้งเมืองหลวงเป็นทั้งเมืองที่ได้ถูกจัดให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารเมืองมาตั้งแต่อดีตที่ช้านาน แต่พระองค์ท่านยังต้องจัดโครงการพระราชดำริให้ถึง 60 โครงการ แต่กรุงเทพมหานครก็ยังไม่น่าดู แถมยังมีข่าวทุจริต คอร์รัปชั่นติดอันดับสูง เห็นที คสช.ต้องรีบทำการปฏิรูป กทม.ก่อนเรื่องอื่นใดซะแล้ว
โครงการพระราชดำริที่พระองค์ท่านได้ทรงทำมาตลอดระยะเวลาการครองราชย์มายาวนานนั้น ไม่ใช่รัฐบาลชุดแล้วชุดเล่าไม่ทราบ ไม่ใช่ส่วนราชการรวมทั้งรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องจะไม่ทราบ เพราะส่วนราชการเป็นผู้ให้ความร่วมมือทำในโครงการตามพระราชดำริแทบทุกโครงการ และก็ทำได้ดีใช้ได้ แต่ถ้าเป็นโครงการของหน่วยงานตนเองกลับกลายเป็นคนละเรื่อง มีโครงการขึ้นมาก็ทำ ไม่ได้คิดให้รอบคอบ ทำแบบเช้าชามเย็นชาม ไม่ใส่ใจดูแลให้มีประสิทธิภาพ เสร็จเมื่อไรก็ช่างมัน เบิกจ่ายช้าไม่สนใจ แต่เรื่องหัวคิวนั้นดูแลแบ่งปันกันอย่างดี นี่แหละครับราชการไทย ย้อนหลังไป 30-40 ปีที่แล้ว ยังดูทะมัดทะแมงหน่อย แต่ในระยะ 20 ปี หลังจากนั้น นับวันแต่จะลดน้อยลดลงดังที่กล่าวข้างต้น
ภาวะวิกฤตของบ้านเมืองในช่วงปี 2554-57 ก่อให้เกิดการลุกฮือของประชาชนเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ กันอย่างกว้างขวางมาก มีนักพูดทั้งอาจารย์ ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ นักการเมือง ตลอดจนผู้ขายแรงงานและเกษตรกรลุกขึ้นมาพูดเรียกร้องให้ทำการปฏิรูป ใครพูดประเด็นไหนเหมือนจะถูกไปหมด จนกระทั่งในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ก็ได้เกิดการรัฐประหาร โดยคณะทหารและตำรวจ นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกสมัยนั้น โดยได้ตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือที่เรียกว่า “คสช.” ขึ้นมาปกครองประเทศ
และต่อมาในเดือนกันยายน 2557 จึงได้มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาบริหารประเทศแทน คสช. โดยคงอำนาจของ คสช.อยู่ ซึ่งมีท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรีของรัฐบาล คสช.ด้วย
การยึดอำนาจของทหารในเดือนพฤษภาคม 2557 นี้ ได้สร้างความคาดหวังจากประชาชนรวมทั้งสื่อมวลชนทุกสำนักอย่างมากในเรื่องการปฏิรูปประเทศ สื่อต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจมาไว้ในมือได้แล้ว ความมุ่งหวัง ความคาดหวัง ของมวลมหาประชาชนได้มาตกอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยปริยาย เป้าหมายของประเทศไทยในวันนี้ คือประเทศมั่นคง มั่งคั่ง ผู้บริหารมีธรรมาภิบาล มีปณิธานที่แน่วแน่ที่จะนำพาประเทศไปให้ถึงจุดหมายการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ มีสังคมที่มีจิตสำนึก ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น มีสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน และที่สำคัญจะต้องสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปให้ได้เพราะโอกาสนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้ได้
นั่นคือ ฉันทานุมัติเกี่ยวกับเป้าหมายการปฏิรูปประเทศ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้แสดงออกมาโดยไม่ต้องมีการประชุมขอมติใดๆ ทั้งสิ้น แต่มาถึงวันนี้ วันที่ได้ผ่านการยึดอำนาจมา 3 ปีกว่าแล้ว วันที่ได้มีการประกาศจากท่าน พล.อ.ประยุทธ์ ว่าในเดือนพฤศจิกายน 2561 หรือนับได้ 4 ปีครึ่ง จากวันยึดอำนาจก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งแล้ว
เอาเถอะ 4 ปีครึ่งก็เอา ขอให้รัฐบาลทำให้บ้านเมืองบรรลุสู่เป้าหมายของความมั่นคง มั่งคั่ง มีธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับประชาชนคนไทยที่เป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน ซึ่งภายหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้พยายามทำความดี มีความรักสามัคคีแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และตั้งหน้าตั้งตาเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในเรื่องของความรักและหวงแหนประเทศชาติ
