คอลัมน์เริงโลกด้วยจิตรื่น : ‘เป้าหมาย’ที่สับสน

ชวนไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะมาแลกเปลี่ยนกันเรื่อง “ความสับสนในเป้าหมาย”

เมื่อไม่ชัดเจนในเป้าหมาย ย่อมยากที่จะกำหนดวิธีการ เมื่อไม่รู้ว่าวิธีการที่ชัดเจน ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมไร้พลัง เพราะลึกๆ ลงไปแล้วอดถามตัวเองไม่ได้ว่า “ทำไปทำไม” หรือ “ทำไปให้ได้อะไรขึ้นมา”

หากเริ่มต้นด้วยความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ ที่สุดจะไปสู่การหาคำตอบว่า “มนุษย์เกิดมาทำไม”

เพียงแต่บางคนไปไม่ถึงที่สุด ไม่เคยนึกถามว่า “เกิดมาทำไม” เป้าหมายจึงวนเวียนอยู่กับอะไรต่ออะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำตอบว่า “เกิดมาทำไม”

Advertisement

อาจจะเป็นขนาดของความร่ำรวย ตำแหน่งหน้าที่ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือชื่อเสียงบารมีอันเกริกไกร

หรืออาจจะเป็นการสร้างสรรค์ผลงาน สะสมความพออกพอใจในรูปแบบต่างๆ หรือมีไม่น้อยที่วนเวียนอยู่กับการแสวงหาความสุขจากสิ่งต่างๆ ที่ได้สัมผัส สัมพันธ์

แต่ไม่ว่า “เป้าหมาย” จะไปถึงคำตอบว่า “เกิดมาทำไม” หรือไม่ก็ตาม

Advertisement

หากย้อนดูการใช้ชีวิตของมนุษย์เรา จะแบ่งออกเป็น 2 ทาง

ทางหนึ่งคือ ขยาย “อัตตา” ตัวเอง อาจจะเป็นขยายในทางสะสมทรัพย์สินสิ่งของเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สร้างและขยายอาณาจักรหรือกิจการ สะสมประสบการณ์แสวงความสุขจากการท่องเที่ยวบันเทิง เสพสมภิรมย์กาม หรือทำลายล้างขยายอำนาจตัวเองไม่หยุดหย่อน

หนทางนี้เป็นวิถีของมนุษย์ปุถุชนที่นิยมกัน เรียกว่า “ความสำเร็จ”

เป็นมหาเศรษฐี เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต เป็นเพลย์บอยเลื่องชื่อ หรือเป็นนักรบ เจ้าพ่อ มาเฟีย ใช้อำนาจเพื่อขยายอิทธิพลอะไรไป

เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นเป้าหมายของคนส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นนิยมชมชอบในการขยายตัวตนแบบไหน

หรือจะนิยามว่าเป็น “วิถีของการแสวงหาความสุขในทางโลก”

ส่วนอีกทาง จะเรียกว่า “ทางธรรม” ก็ได้ นั่นคือ การมีชีวิตเพื่อการสละออก เป็นการละจากกิเลสทั้งมวล ละจากความโลภ ความโกรธ ความหลง

เป็นหนทางสู่ “ปัญญา” หรือการหยั่งถึงกฎของธรรมชาติ

มี “ความสงบของจิต” เป็นเป้าหมาย

มนุษย์เราดำเนินชีวิตอยู่ใน 2 กระแสนี้

เพราะเราเกิดมาในยุคนี้ที่กระแสสะสมมีพลังในการชี้นำผู้คนในสังคมมากกว่า ความสำเร็จของคนถูกนิยามให้มีความหมายไปในทาง “สะสมลาภ ยศ สรรเสริญ” เป็นด้านหลัก ก่อให้เกิดการแสวงหาความสุขในทางขยายอัตตาตัวตน แนวทางเช่นนี้จึงเป็นปกติของมนุษย์

ส่วนแนวทางที่มุ่งสละ เพื่อก่อให้เกิดปัญญาเห็นกฎธรรมชาติจึงเป็นหนทางที่คนแห่งยุคสมัยไม่ค่อยมีใครเลือกเดินนัก กลายเป็นกระแสรองในสมัยนี้

แต่หากกลับไปย้อนดูประวัติศาสตร์มนุษยชาติ จะพบว่าระหว่างวิถีแห่งการสะสมกับวิถีแห่งการสละนั้น จะเกิดความนิยมสลับไปสลับมา

เมื่อวิถีใดวิถีหนึ่งรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด จะค่อยๆ เสื่อมลง และความนิยมชมชอบในอีกวิถีหนึ่งจะค่อยๆ เกิดและเบ่งบานขึ้นเป็นกระแสหลักแทน

เรื่องราวมักเป็นไปเช่นนี้ เพียงในแต่ละยุคสมัยอาจจะใช้เวลาที่ยาวนานจนเกินกว่าช่วงชีวิตหนึ่งของมนุษย์จะสัมผัสถึงความเปลี่ยนสลับของ 2 กระแสนี้

หากแต่สำหรับคนยุคนี้ ถ้าสังเกตความเป็นไปดีๆ พบว่าคล้ายจะสัมผัสถึงพลังความเปลี่ยนแปลงได้ โลกที่หมุนด้วยกระแสสะสมมายาวนาน คล้ายว่าจะมีกระแสของการสละแสดงพลังขึ้นมาให้สัมผัสได้ถี่ และกว้างขวางขึ้น

เรื่องราวของการทำดีเพื่อคนอื่น อันเป็นรูปธรรมของการสละกับการปฏิเสธ ต่อต้านคนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้อันเป็นรูปธรรมของกระแสสะสม เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ในรอยต่อของความเปลี่ยนแปลงนี้ ย่อมก่อสับสนต่อความรู้สึกนึกคิด

ระหว่างสะสมกับสละออกอย่างไหนดีกว่า คำตอบกำลังเคลื่อนเข้าสู่ความไม่ชัดเจน

และนี่เองจึงเป็นยุคสมัยของ “เป้าหมายที่สับสน”

อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วสภาวะเช่นนี้ก็จะผ่านไป

เพราะความจริงแล้ว “มนุษย์เราไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายหรอก” แค่จัดการตัวเองให้มี “สติตื่นรู้” อยู่เสมอว่า “ต้องทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ”

แม้ไม่รู้ว่า “เกิดมาทำไม” แต่จะไปถึงในจุดที่ “ชีวิตควรจะไปได้”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image