…ฝนถล่มกรุง “น้ำท่วมทันที ขยะลอยเกลื่อน” ทำให้แถลงของ “กรมอุตุนิยมวิทยา” ว่าด้วย “ปริมาณฝนมากกว่าปกติ” สร้างอาการส่ายหน้าให้ประชาชน เมื่อคิดไปถึง “ความไร้การบริหารจัดการท่อระบายน้ำ” ดังนั้นแม้ อัศวิน ขวัญเมือง จะออกมาประกาศความรับผิดชอบ ต่างกับยุค สุขุมพันธุ์ บริพัตร แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นสำหรับความรู้สึกของชาวเมืองหลวง ในฐานะ “ผู้นำรัฐบาล” อาจจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่รู้สึกกดดันอะไรมากนัก ด้วยกระทั่ง “ผู้ได้รับความเดือดร้อน” ยังแปล “ความทุกข์ ความเสียหาย” เป็นเรื่องสนุก “ฮาเฮ” อย่างภาพ “เหวี่ยงแหจับปลาที่ถนนแถวสีลม” หรือ “แปลงพื้นบ้านเป็นสระว่ายน้ำ” เอามาแชร์กันเหมือนรื่นรมย์ แต่อีกด้านหนึ่งเป็น “ภาพสะท้อนของความรู้สึกสิ้นหวัง”
…ธรรมดาของมนุษย์ หากยังคิดว่า “ฝากความหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากใครคนใดคนหนึ่งได้” จะเริ่มต้นจากการ “เรียกร้อง” และขยายไปสู่การ “บ่น ตำหนิ ด่าทอ” ทว่าทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นเพราะคิดว่าวิธีเช่นนั้นจะทำให้เกิด “ความช่วยเหลือ” แต่ในวันที่รู้สึกถึงการ “ยอมรับชะตากรรมโดยพึ่งพาใครไม่ได้” มีแต่จะต้องทำเรื่อง “เจ็บปวด” ให้เป็น “ความตลกขบขัน” เพื่ออย่างน้อยเยียวยาหัวใจตัวเองไว้ เพียงแต่ “ผู้บริหาร” ไม่ว่าระดับไหนหากอยู่ในภาวะที่ “ประชาชน ไม่รู้สึกว่าเป็นความหวัง” ที่สุดแล้วย่อมรู้สึกเองว่าเป็น “ผู้บริหารที่มีค่าแค่ไหน”
…ในความสงบเรียบร้อย แม้จะยังควบคุม “ความเคลื่อนไหวทางการเมือง” ได้อย่างราบคาบ “นักการเมือง” ต้องทำตัวเป็น “เด็กดี” ตามปริมาณ “แผลบนหลัง” ว่าเสี่ยงต่อการถูกเช็กบิลแค่ไหน แต่เมื่อถึงวันนี้ ค่อยๆ เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า “ไม่ใช่เสียทีเดียว” ว่า “ผู้มีอำนาจ” จะไม่ตกอยู่ในสภาพตั้งรับ ด้วยหากมองไปที่ “ผลงาน” ที่แม้จะมีความพยายามพูดถึงอย่างถี่ยิบ ใช้สื่อแบบเข้มข้น ทั้งในเวลา ไพรม์ไทม์อย่างต่อเนื่องยาวนาน รวมถึงในวาระพิเศษ “ตามแต่ปรารถนา” ได้ทุกเวลา ว่าหากยอมรับความจริงจะพบว่า “แทบไม่มีเรื่องใดเลย” อันเป็น “ผลงานเรียกเสียงแซ่ซ้องจากประชาชนได้”
…ไม่ว่า “อีอีซี” ที่ลงทุน ลงแรงไปมากมาย “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หรือที่เรียกว่า “บัตรคนจน” หรือ “โครงการอินเตอร์เน็ตชุมชน” ที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เชื่อมั่นว่าจะเป็น “โบแดง” ให้ประชาชนได้จดจำ ทว่าไม่เพียงไม่เรียก “เสียงชื่นชม” ให้เท่านั้น ทว่าอีกด้านหนึ่งที่ถูกพลิกมาโจมตีกลับทำท่าจะกระหึ่มเสียยิ่งกว่า ซึ่งเป็นเรื่อง “ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง” ด้วยเรื่องที่ “ควรจะเป็นผลงาน” กระแสหลักกลับกลายเป็น “ปมถูกถล่ม” ย่อมสะท้อนถึง “พลังอคติ” ที่ท่วมท้น นั่นหมายถึง “ไม่ว่าจะมีอำนาจมากมายแค่ไหน” หาก “ทุกเรื่องที่ทำถูกม่านอคติบดบังจนผู้คนมองเป็นเรื่องเลวร้าย” นั่นคือ “ความยุ่งยากในการจัดการ”
…คำที่บอกว่า “ไม่ใช่นักการเมืองไม่จำเป็นต้องสนใจกระแส” เป็นเรื่องที่ “พูดง่าย” แต่ใครบ้างที่ “ทำใจได้” หากรู้ว่า “ทำดี” แล้วถูกมองว่า “เลวตลอด” หากให้ราคากับ “ความรู้สึกนึกคิดของประชาชน” ก็ไม่จำเป็นต้อง “เหมาเวลาไพรม์ไทม์ไว้โฆษณาผลงาน” ไม่หงุดหงิดร้อนรุ่มกับท่าทีของ “สื่อมวลชน” ที่ตั้งคำถามในเรื่องที่ไม่อยากตอบ และเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก “ทีมโฆษก” และปรับ “วิธีการประชาสัมพันธ์” ครั้งแล้วครั้งเล่า
…ในสถานการณ์ที่แม้ “การเมืองยังเป็นไปตามบัญชาการ” ทว่าเรื่องราวอื่นๆ เริ่มเป็นคำถามที่ตอบยากขึ้นเรื่อยๆ “ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐ” ที่ไปตามจับ “การขายเมล็ดพันธุ์” โดยผู้ผลิตที่อ้างว่าเป็น “กลุ่มเกษตรกร” ที่ผลิต “เมล็ดพันธุ์” ขึ้นมาขาย “ราคาถูกเพื่อช่วยเหลือเพื่อนเกษตรกร” ขณะ “ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐ” ที่อ้างต้องทำ “กฎหมายการค้าพันธุ์พืช” ถูกโจมตีว่าเป็น “สมุนรับใช้นายทุนผูกขาดเมล็ดพันธุ์” หากินกับ “เศษเงินของมหาเศรษฐี” ที่ “ร่ำรวยไม่รู้เพียงพอ” เพราะเป็นเรื่องที่พูดยาก จึงไม่เห็นใครออกมาเคลื่อนไหวชี้แจง ทว่าผลที่จะตามมาคือ “ผู้มีอำนาจ” จะถูกลากไปเป็นพวกเดียวกับ “นายทุนผูกขาด” แทนที่จะยืนอยู่ข้าง “ประชาชน” และ “ผู้รักความเป็นธรรม” ในสภาพนี้ต่อให้ท่อง “ทุกเวลาหลังอาหารและก่อนนอน” ว่า “ไม่สนกระแส” ยากที่จะไม่ถามตัวเองว่า “จะอยู่กันไปอย่างนี้ได้อย่างไร”
…เรื่องราวของ “พลังอคติ” ยังสะท้อนผ่านเรื่องราวต่างๆ อย่างต่อเนื่อง กระทั่ง “การวิ่งหาเงินช่วย รพ.รัฐ” ของ “ตูน บอดี้สแลม” ที่ความดีงามพลิกมาเป็น “การตั้งคำถาม” การจัดสรรงบประมาณรัฐ ที่พุ่งตรงไปที่การเปรียบเทียบระหว่าง “งบซื้ออาวุธ” กับ “งบสาธารณสุข” ในมุมของ “ความสามารถในการบริหารจัดการ” ที่จะต้องตัดสินใน “ความจำเป็นและเร่งด่วน” ระหว่าง “สงครามกับประเทศต่างๆ” กับ “การช่วยเหลือดูแลความเจ็บไข้ได้ป่วยของประชาชน” หรือ “รถถังประสิทธิภาพในการรบสูงจากจีน” ที่ส่งมาเป็นล็อตแรก แทนที่จะตื่นเต้นดีใจกับ “แสนยานุภาพใหม่ของประเทศ” กลับถูกพลิกมาเป็นกระแสอีกด้านไป ความน่าสนใจอยู่ที่ “มองกระแสเหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระได้หรือไม่”
ชโลทร