‘หอค้า’เผยเอกชนไทย-สหรัฐเตรียมเซ็นเอ็มโอยูดันค้าการลงทุนร่วมกัน

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงการเยือนสหรัฐเมื่อวันที่ 2-4 ตุลาคมที่ผ่านมา พร้อมกับคณะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตามคำเชิญของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ว่า ในส่วนของเอกชน หอการค้าไทย ได้นำนักธุรกิจไทยประมาณ 20 คนร่วมคณะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ลงทุนในสหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว ได้พบปะและหารือกับหอการค้าสหรัฐ ซึ่งหารือกันหลายชั่วโมงและได้ข้อสรุป โดยหอการค้าสหรัฐเสนอให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างหอการค้าสหรัฐ และหอการค้าไทย เพื่อสร้างความร่วมมือกันผลักดันให้เศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และภาคบริการขยายตัวมากขึ้น ขณะนี้กำลังร่างเอ็มโอยูกันอยู่ ภายใน 2 สัปดาห์นี้ทั้งสองฝ่ายจะนำร่างมาพูดคุยและปรับปรุงอีกครั้ง และคาดว่าภายใน 1 เดือนนี้จะลงนามร่วมกันได้

นายกลินท์กล่าวว่า กรอบของเอ็มโอยูประกอบด้วยเรื่องการส่งเสริมการค้าการลงทุน และคัดเลือกสาขาธุรกิจและหาเป้าหมายร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนด้านพลังงาน บริการ นวัตกรรมและไอที การศึกษา การแพทย์และการดูแลสุขภาพ ความปลอดภัยทางด้านอาหาร ขณะเดียวกันยังเห็นร่วมกันให้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-สหรัฐขึ้นมา เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเอ็มโอยู โดยเลือกบริษัทเอกชนที่จะไปลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ และเชิญกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นที่ปรึกษา

“นับเป็นครั้งแรกของภาคเอกชนทั้งสองฝ่าย ที่สร้างช่องทางติดต่อกันโดยตรง จากที่ผ่านมาไม่เคยมีมาก่อน และรอบนี้นับเป็นการกระชับความสัมพันธ์กันอีกครั้ง หลังจากห่างหายกันไปนานราว 4-5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ทางหอการค้าสหรัฐได้ให้ความมั่นใจว่า ไทยยังคงเป็นศูนย์กลางของอาเซียน มีความพร้อมที่จะเป็นผู้นำของอาเซียน และมีความพร้อมในการรับการลงทุนของต่างชาติ เพราะไทยมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญมากขึ้น เช่น สนามบิน มอเตอร์เวย์ และมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ดึงดูด อย่างระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ประกอบกับไทยเองได้ปรับปรุงกฎหมายให้เอื้ออำนวยความสะดวกต่อการลงทุนและการทำธุรกิจ รัฐบาลมีโรดแมปประเทศในการเดินหน้าทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และการเมืองมีเสถียรภาพ ทำให้สหรัฐมองภาพรวมประเทศไทยดีขึ้น และยังมีท่าที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอีอีซี เพราะไทยมีที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางภูมิภาคนี้ เมื่อมาลงทุนที่ไทยแล้วสามารถขยายไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียนได้” นายกลินท์กล่าว

นายกลินท์กล่าวว่า สำหรับบริษัทเอกชนของสหรัฐที่สนใจลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะในอีอีซีนั้น มีหลายธุรกิจโดยเฉพาะทางด้านการแพทย์ การท่องเที่ยว และธุรกิจบริการ ที่เป็นธุรกิจธนาคาร กลุ่มยานยนต์ นอกจากนี้ยังให้ความสนใจที่จะเพิ่มการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น บริษัท ซีเกท, แคตเตอร์พิลลาร์, ฟอร์ด มอเตอร์ เป็นต้น ขณะเดียวกันเอกชนสหรัฐยังแสดงความสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงพื้นที่ชมโครงการอีอีซีของไทยด้วย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image