…ตอน “หุ้นตก” ด่า “ผู้บริหารประเทศ” กันเละ ทำนอง “ไม่มีประสิทธิภาพกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลต่อธุรกิจไม่ฟูเฟื่อง” พอ “หุ้นขึ้น” แทนที่จะชื่นชมว่า “รัฐบาลสร้างผลงานเข้าตานักลงทุน” กลับชี้เหตุไปที่ “การประกาศวันเลือกตั้งคืนอำนาจให้ประชาชนทำให้นักลงทุนมีความหวัง” จึงแห่กันเข้าซื้อจน “ดัชนีตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์” ตีความกันอย่างนี้ คล้ายให้สื่อความหมายว่า “รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” เป็นปัญหาต่อ “ความฟูเฟื่องของเศรษฐกิจ” เป็นตัวสกัด “ความเชื่อมั่นของนักลงทุน” จึงไม่แปลกที่ “โฆษกผู้มีอำนาจ” จะต้องออกมาแถลงให้ “มองในมุมที่ชื่นชมฝีมือรัฐบาล” แต่ก็นั่นแหละนะ “ความเชื่อมั่น” เกิดขึ้นเพราะอะไร “นักลงทุนย่อมรู้อยู่แก่ใจตัวเอง”
…ที่สำคัญ “วันเลือกตั้ง” ที่ประกาศไว้ว่าจะเกิดขึ้น “พฤศจิกายน 2561” ยิ่งฟังยิ่งเห็นอุปสรรค ใช่ว่าจะ “เป๊ะ” ตามนั้น ดูท่า “กฎหมายลูกจะก่อปัญหาได้ไม่น้อย” ไม่เพียงมีข่าวเตรียมตั้งเรื่องให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ตีความเท่านั้น แต่ “หน่วยงานควบคุมการประพฤติมิชอบทั้งหลาย” ดูจะเป็นตัวเลือกให้เข้าไปเตะสกัดอยู่คึกคัก ล่าสุด มีชัย ฤชุพันธุ์ คนที่นำขบวนเขียนทั้ง “รัฐธรรมนูญ” และ “กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ” ยังมีเสียงท้วงติงเรื่องความสอดคล้อง ที่น่าสนใจคือ “ราคาหุ้น” จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเป็นเพราะ “ไม่เชื่อมั่นในผลงานรัฐบาล” หรือเพราะ “ข่าวว่าการเลือกตั้งอาจจะต้องเลื่อนออกไป”
…แม้ปัญหาบริหารจัดการน้ำประเทศไทยเราจะ “ซับซ้อนสับสน” ไปสารพัดเหตุ อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้ให้เห็น และเรียกร้องให้ “ทุกคนอย่าเอาแต่หาจำเลย” แต่ “น้ำท่วม” ที่เกิด “ฉับพลัน” ที่ “ฝนถล่ม” ย่อมจะสะท้อนถึง “ขาดการบริหารจัดการและการเตรียมตัวรับมือ” ในทุกระดับ ความผิดจาก “ความซับซ้อนของปัญหา” อาจจะ “สะสม” มาจากรัฐบาลชุดก่อนๆ แต่ “ความสับสนในการบริหารปัจจัยตามความจำเป็นและเร่งด่วน” ยิ่งออกมา “แก้ตัวเกรี้ยวกราด” เท่าไร จะทำให้ผู้คน “ส่ายหน้า” หนักขึ้นเท่านั้น
…ในโลกยุคออนไลน์ที่ “ความเร็วของข่าวสาร” กระพือได้รวดเร็วและกว้างขวาง การควบคุมมีอยู่ทางเดียวคือ “ข่าวจริง” จะต้องออกมาก่อน “ข่าวลวง” หรืออย่างน้อยต้อง “ตามมาติดๆ” ก่อนที่ “คนจะเชื่อและขยายความไม่จริงไปไกล” แต่ที่เห็นและเป็นไป “หน่วยงานต้นเรื่อง” ของข่าว กลับอยู่ในสถานะ “ตั้งรับ” และอย่าง “เชื่องช้า” หลายเรื่อง “ประชาชนเดือดร้อนหนัก” ไปเรียบร้อย โดยไม่ทันรู้ตัว ลองเป็นอย่างนี้ “ผู้มีอำนาจ” คงต้องหงุดหงิดกับเสียงบ่นของ “ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนต่อไป” โดยไม่มีใครช่วยได้
…ฟังจาก สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ด้วย “การลงทุนภาครัฐ” จะส่ง “จีดีพี” กระฉูดใน “ไตรมาส 3-4” และหากรวมทั้งปีจะเพิ่ม “7-8%” ถือว่าระเบิดเถิดเทิง เทียบเท่า “ยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟู” กันเลยทีเดียว ดังนั้นอาการ “ห่อเหี่ยว” น่าจะเป็นเรื่อง “รู้สึกกันไปเอง” ด้วยตัวเลขแบบนี้หากได้รับความร่วมมือจาก “ภาคเอกชน” จะช่วยกระตุ้นอีกนิด ย่อมทะลุสู่ “รุ่งเรืองสุดยอด” แต่ “อีกนิด” นั้นเป็นเรื่องที่จะต้องทำให้ “เอกชน” เชื่ออย่างที่ “สมคิดพูด”
…ว่าไปที่ “สมคิด” ประกาศ ใช่ว่าจะเป็นเรื่อง “ลมๆ แล้งๆ” เพราะ เจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดแถลงให้ “ดัชนีเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ” ว่าปรับตัวขึ้น 2 เดือนติดต่อกัน จาก 85.0 ในเดือนสิงหาคม มาเป็น 86.7 แม้จะยังกังวลกับความเสี่ยงเรื่อง “กำลังซื้อภาคเกษตร” และ “ความขัดแย้งระหว่างประเทศ” อยู่บ้าง ทว่า “คำสั่งซื้อ” ที่มีเข้ามา เป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นมากกว่า
…ยิ่งนับวัน “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หรือที่เรียกให้ง่ายว่า “บัตรเครดิตคนจน” ยิ่งขยาย “ดราม่าประชารัฐ” พิลึกพิลั่นมากขึ้น ไม่ว่าจะ “เอาไปแลกเงินสดมาใช้ก่อน” เหมือน “นายทุนเงินกู้นอกระบบ” ที่ยึด “เอทีเอ็มใบที่เงินเดือนโอนเข้า” ยิ่งสารพัดดราม่านี้ เปิดประเด็นโดย จาตุรนต์ ฉายแสง ดูท่าเรื่องนี้ “คนรับผิดชอบ” คงต้องตั้งหลักกันครั้งใหญ่ เพื่อหาวิธีตั้งรับโดยที่โครงการยังเดินหน้าไปได้
ชโลทร