ผู้เขียน | พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร |
---|
หํ้าหั่นทางความคิดกันอย่างเข้มข้นมาตลอดสัปดาห์สำหรับประเด็นการวิ่งเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลของ “พี่ตูน” อาทิวราห์ คงมาลัย นักร้องนำวงบอดี้สแลม ซึ่งเคยประสบความสำเร็จล้นหลามในแง่ยอดบริจาค สร้างกระแสและภาพลักษณ์ของการกระทำความดีเพื่อชาติมาแล้วจากการวิ่งคราวก่อน กระทั่งครั้งล่าสุดมีกิมมิคจำง่ายๆ คือ “อยากได้เงิน 10 บาทจากคนไทยทุกคน” ตั้งเป้า 700 ล้านบาท ซึ่งปักหมุดจากใต้สุดที่เบตงสู่เหนือสุดแม่สาย ผ่าน 20 จังหวัด วัดระยะทางได้ 2,191 กิโลเมตร ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้
หลังโปรโมตออกไปก็ได้รับการตอบรับถล่มทลายเช่นเคย ก่อนที่จู่ๆ จะกลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าเมื่อ สุเจน กรรพฤทธิ์ นักเขียนนิตยสารชื่อดังฉบับหนึ่งแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กที่ถูกแชร์ต่อรัวๆ ว่าการวิ่งของพี่ตูนจะช่วยกลบปัญหาของรัฐบาลทหาร ที่เอาเงินภาษีไปช้อปปิ้งเรือดำน้ำและเฮลิคอปเตอร์ แก้ไขได้แค่ปัญหาระยะสั้น ตอบสนองสลิ่มในทุ่งลาเวนเดอร์ โดยมีคำสำคัญชวนเจ็บจี๊ดที่ถูกนำไปโควตเพิ่มความเผ็ดร้อนคือ “จะโง่ไปถึงไหนครับพี่?”
ยังไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อข้อความข้างต้นถูกแชร์โดย ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ พร้อมพิมพ์ข้อความสั้นๆ เพียง 2 ประโยคว่า “โลกสวยๆ What a beautiful world!” ประเด็นนี้ก็ถูกจุดไฟพร้อมราดน้ำมันหมดแกลลอนจากหลายเพจ
เฟซบุ๊กและข่าวออนไลน์ที่นำไปพาดหัวโหมเพลิงให้ลุกโชนด้วยการควบรวมความเห็นของทั้ง 2 ราย บ้างก็เบะปากวิพากษ์กลับว่าผู้เห็นค้านเป็นพวก “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” รุมสับแหลกทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง
บ้างก็แปะป้าย “เสื้อแดง” ให้พร้อมสรรพ จึงขยับจากความเห็นในประเด็นสังคมสู่ขั้วการเมือง
ขยายผลจน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องออกมาแจงปมซื้อยุทโธปกรณ์ทางการทหารพร้อมส่งกำลังใจให้พี่ตูนทำดีต่อไป
นอกจากนี้ยังมีความคิดความเห็นมากมายหลากหลายแง่มุม ทยอยทั้งวิเคราะห์ วิพากษ์ ไปจนถึงถากถางไม่หยุดหย่อน เรียกได้ว่า “ไปไกล” จากต้นทางหลายช่วงตัว
ยังไม่นับประเด็นปลีกย่อยอย่างกรณี รพ.ราชบุรีที่ถูกขุดภาพห้องพักแพทย์หรูหราทั้งที่อยู่ในรายชื่อรับเงินช่วยเหลือจากโครงการพี่ตูน ก่อนมีคำชี้แจงว่าความอลังการนี้มี “เจ้าภาพ” ที่อยากเห็นบุคลากรทางการแพทย์พักผ่อนอย่างเต็มที่ โดยเจ้าตัวยังบอกว่าตนได้ช่วยเหลือคนไข้และอุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วยเช่นกัน
10 บาทสะท้านทรวง ติงเพราะห่วง ท้วงเพราะ “ผิดทาง”?
ก่อนประเด็นจะเตลิดไปไกลกว่านี้ มากรอฟิล์มย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น คือแนวคิดของพี่ตูนซึ่งเจ้าตัวระบุว่า “เงิน 10 บาทอาจซื้ออะไรไม่ได้มาก แต่ถ้าเอามากองรวมกันก็ช่วยคนได้เป็นหมื่นเป็นพันชีวิต” พร้อมเชิญชวนให้บริจาคผ่านช่องทางต่างๆ ภายใต้โครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ”
นำมาสู่คอมเมนต์ของ สุเจน ซึ่งบอกว่า ใครอยากจ่าย ไม่ขัดศรัทธา แต่พี่ตูนจะไม่ได้เงินจากตนแม้แต่บาทเดียว โดยให้เหตุผลว่าหากพี่ตูนอยู่ถ้ำ ไม่รู้ข่าวสารการใช้ภาษีจากประชาชนซื้อเรือดำน้ำและเฮลิคอปเตอร์ จะไม่ว่าเลย ตบท้ายด้วยประโยคสำคัญที่ไม่ได้ถูกหยิบยกมาพูดถึงมากนัก นั่นคือกิจกรรมดังกล่าวช่วย แก้แต่ปัญหาระยะสั้น แต่ระยะยาว ไม่ได้แก้อะไรเลย
ข้อความฉบับเต็ม มีดังนี้
“ใครอยากจ่ายให้พี่ตูนตามสบายนะครับ แต่ในสภาพนี้ อย่าว่าแต่สิบบาทเลย พี่ตูนจะไม่ได้เงินจากผมแม้แต่บาทเดียว ถ้าพี่ตูนอยู่ถ้ำ ไม่รับข่าวสารว่าใครเอาภาษีเราไปช้อปปิ้ง ฮ เรือดำน้ำ ฯลฯ แต่บอกไม่มีเงินมาบำรุงคุณภาพชีวิตคนในชาติ ผมจะไม่ว่าเลยนี่ตกท่อมาก็แล้ว วิ่งมากี่รอบแล้ว ข่าวช้อปปิ้งอาวุธออกมากี่รอบแล้ว ยังคิดไม่เป็นอีกว่าต้องขอเงินใคร จะโง่ไปถึงไหนครับพี่? ว่าการวิ่งของพี่ตูน มันคือการกลบปัญหาให้รัฐบาลทหาร ตอบสนองพวกสลิ่มในทุ่งลาเวนเดอร์ไปวันๆ แก้แต่ปัญหาระยะสั้น แต่ระยะยาว ไม่ได้แก้อะไรเลย”
ส่วนข้อความของ ศ.ดร.ชาญวิทย์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสอดรับกับ “ทุ่งลาเวนเดอร์” นั่นคือ “โลกสวย” ทำเอาทั้งคู่ได้รับผลกระทบจากคอมเมนต์ครั้งนี้อย่างหนัก ทั้งปักป้ายสีเสื้อ รวมถึงขุดคุ้ยประวัติชีวิตและการงานออกตีแผ่
สุเจนนั้นเป็นนักเขียน นักค้นคว้าประวัติศาสตร์สายก้าวหน้า มีผลงานหนังสือทยอยวางแผงอย่างต่อเนื่อง เป็นบุคคลที่ใช้พื้นที่เฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นสังคมอย่างร้อนแรงแทบทุกวัน วันละหลายหน
ส่วน ศ.ดร.ชาญวิทย์ ไม่ต้องสาธยายให้มากความ เพราะเป็นที่ยอมรับในแวดวงประวัติศาสตร์ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ เป็นมือ “กิจกรรมวิชาการ” ที่กล่าวกันว่ายังไม่อาจหาใครมาเทียบได้ จึงมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าความเห็นของอดีตอธิการบดีธรรมศาสตร์ท่านนี้ แม้มีท่าทียั่วล้อ แต่สะท้อนถึงการมองปัญหาเชิง “โครงสร้าง” และ “ระบบ” ซึ่งเจ้าตัวมีพื้นฐานเป็นนักรัฐศาสตร์ โดยจบรัฐศาสตร์ สาขาการทูต (เกียรตินิยมดี) จากรั้วธรรมศาสตร์ ก่อนคว้าปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์จาก ม.คอร์แนล
ล่าสุด เจ้าตัวยังงงหนักมากถึงปรากฏการณ์ซึ่งส่อเค้าคล้าย “ล่าแม่มด” โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า การวิ่งรณรงค์หาเงินบริจาคการกุศลเป็นเรื่องปกติของเซเลบ เจ้าหญิงไดอาน่าก็เคยดังมาจากการวิ่งที่นครวัด เพื่อหาเงินปลดทุ่นระเบิดเขมรแดง แต่ทำไมคอมเมนต์เพียงเล็กน้อยจึงถึงขนาดกลายเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร
“การวิ่งของตูนครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องปกติของเซเลบทำการกุศล ทำไมเมนต์ไม่กี่บรรทัดของนักเขียนเล็กๆ ที่ผมเอามาแชร์พร้อมเมนต์ต่อว่า โลกสวยๆ What a beautiful world จึงกลายเป็นประเด็นใหญ่โต แทบจะกลบข่าวน้ำท่วมชาวบ้าน”
ใจแคบ จับผิด คิดเล็กคิดน้อย ?
ประเด็นมุมมองเชิงโครงสร้างกับการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการลักษณะเดียวกับพี่ตูนนี้ สฤณี อาชวานันทกุล นักคิดนักเขียนชื่อดังออกมาตั้งสเตตัสย้ำชัดว่า การกุศลแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำอย่างนั้น แต่อาจมีส่วนชี้ให้คนเห็นปัญหาได้ ซึ่งก็อาจไม่ใช่ความถนัดของคนที่ทำการกุศล ทว่าเป็นความถนัดของคนอื่น คนที่พยายามทำงานแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง หลายคนก็เริ่มต้นจากการได้มีส่วนร่วมกับโครงการเพื่อการกุศล
ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์ผู้ทำการกุศล สฤณีมองว่า สมควร “ถูกด่า” ในกรณีเดียวเท่านั้น คือ ถ้าชัดเจนว่าเจ้าตัวจงใจจะทำการกุศลนั้นๆ เพื่อกลบเกลื่อนหรือ “ฟอกขาว” ความผิดอะไรสักอย่างของตัวเอง ประมาณว่าคนขี้โกงวิ่งเข้าวัดไปทำบุญ เรื่องเหล่านี้เป็นความสมัครใจ ใครจะให้ก็ดี ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ควรด่าคนที่ให้
“การกุศลในตัวมันเองเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วในหลักการ เพราะสะท้อนว่ายังมีคนที่คิดถึงคนอื่น ส่วนจะทำแล้วมีประสิทธิภาพแค่ไหน ทำรูปแบบอื่นดีกว่าไหม ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยคนคิดเล็กคิดน้อย ใจแคบลงเรื่อยๆ มากพอแล้ว พยายามเปิดใจให้กว้างอีกนิด จับผิดกันน้อยลงคงจะดี” สฤณีตบท้าย ขณะที่ ลักขณา ปัณวิชัย หรือ คำ ผกา มองว่า การวิจารณ์ตูนนั้น ไม่ได้เป็นการวิจารณ์ “ตัวตน” หรือความในใจ แต่เรากำลังวิเคราะห์ วิจารณ์กลไกการทำงานเชิงอุดมการณ์ของกิจกรรมนี้ต่างหาก
ยุทโธปกรณ์ต้องมี! หรือบริหารภาษีล้มเหลว?
มาดูฝั่งภาครัฐอย่างกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนี้
แพทย์หญิง พรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวง ระบุว่า โปรเจ็กต์วิ่งโดยพี่ตูนเป็นตัวอย่างของแนวทาง “ประชารัฐ” ที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมวางแผนพัฒนาและสนับสนุนดูแลโรงพยาบาล
ด้าน คสช.ที่ตกเป็นจำเลยเรื่องการช้อปกระหน่ำเครื่องมือเครื่องไม้ในการจับศึก แต่กลับไม่มีงบให้โรงพยาบาลนั้น
“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมส่ายหน้าว่า “ไม่เกี่ยวกัน” เพราะการจัดซื้ออาวุธเป็นการวางแผนระยะยาว เนื่องจากมีอายุการใช้งาน 30-40 ปี เมื่อหมดอายุต้องวางแผนจัดซื้อต่อไป ไม่ใช่อยากซื้อวันนี้พรุ่งนี้ก็ซื้อ
เช่นเดียวกับถ้อยแถลงของ “บิ๊กตู่” ผ่าน “เสธ.ไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกสำนักนายกฯ ที่กล่าวถึงกระแสวิจารณ์ที่ระบุว่า รัฐบาลนำงบประมาณไปใช้ในทางที่ไม่จำเป็นหรือการบริหารภาษีของรัฐล้มเหลว โดยยืนยันว่ารัฐมีหน้าที่บริหารบ้านเมืองให้ก้าวหน้าไปในทุกมิติ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม จึงไม่สามารถทุ่มเทงบประมาณไปในสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้
ฟากวงการบันเทิงนั้น ป๋อ-ณัฐวุฒิ สะกิดใจ ไม่ทิ้งลายพระเอก โดยบอกว่า ตูนกำลังพูดถึงพลังสามัคคี ซึ่งถ้าคนไทยช่วยกัน เงินแค่ 10 บาทจาก 70 ล้านคนอาจเป็นพลังมหาศาล นั่นต่างหากคือแก่นแท้
ท่ามกลางสมรภูมิวิวาทะที่ยังปะ ฉะ ดะ กันแบบรายวัน แม้สร้างความอลหม่าน หงุดหงิด รำคาญใจให้แต่ละฝักฝ่ายของความคิดซึ่งเชื่อว่าล้วนมีเจตนาดีเป็นที่ตั้ง ทั้งฝ่ายหนุนและวิพากษ์ แต่อย่างน้อยที่สุดก็นับเป็นสถานการณ์ที่สะกิดต่อมสงสัยให้คนไทยหันมาตั้งคำถามกับภาษีที่จ่ายไป รวมถึงระบบโครงสร้างการใช้จ่ายของภาครัฐซึ่งไม่ใช่แค่ดราม่าไร้สาระในโซเชียลอีกต่อไป