นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การแปลงข้อมูลดิจิทัลมาใช้งาน (Embracing Digitization)” ในงานประชุม “Biennial BIIA (Business Information Industry Association) Conference 2017” โดยสมาคมอุตสาหกรรมข้อมูลเชิงธุรกิจ (BIIA) ว่า ขณะนี้การหลอมรวมในระบบนิเวศเครดิต (Credit Ecosystem) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การทำข้อมูลเป็นระบบดิจิทัล ได้มีการเข้าถึงบริการทางการเงินของผู้บริโภค โดยประเทศไทยพยายามนำนวัตกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาใช้งานอยู่เสมอ ทำให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกและสร้างประโยชน์มากมายให้แก่ประชาชนชาวไทย โดยทำให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและใช้ต้นทุนให้เกิดความคุ้มค่ามากขึ้น สามารถสร้างผลกำไรให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
นายพิเชฐ กล่าวว่า ล่าสุด กระทรวงดีอีและกระทรวงการคลัง ได้ตั้งคณะกรรมการร่วม ประกอบด้วยตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) , คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ,ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ,สมาคมธนาคารไทย ,สำนักทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพื่อร่วมมือกันพัฒนาแพลตฟอร์มในการยืนยันตัวตนเพื่อทำธุรกิจ หรือ Digital Identity Platform โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวจะเป็นระบบยืนยันตัวตนสำหรับบุคคลที่จะเริ่มทำธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวกให้การรับรองตัวตนและลงทะเบียนสร้างความเชื่อถือในการทำธุรกิจที่รวดเร็วมากขึ้น โดยระบบจะมีความปลอดภัยสูงและเชื่อมโยงกับระบบของหน่วยงานสำคัญๆ ในการยืนยันตัวตน อาทิ ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ฐานข้อมูลของสถาบันการเงิน และฐานข้อมูลเครดิต
อย่างไรก็ตาม ระบบที่จะพัฒนาขึ้นจะลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในการยืนยันความมีตัวตนและความน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่สามารถทำธุรกรรมหรือติดต่อกับคู่ค้าจากต่างประเทศได้รวดเร็วมากขึ้น โดยระบบนอกจากจะเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลของหน่วยงานของไทยในอนาคตจะทำให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบของต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะออกแบบระบบได้สมบรูณ์ภายในปลายปีนี้ เพื่อทำการนำร่องทดลองใช้งานเป็นเวลา 6 เดือนก่อนจะให้บริการจริงในช่วงกลางปี 2561