ผู้บริจาคเตรียมควัก 155,000 ใครแจ้งเบาะแส ‘พระราชรัชมุนี’ รับเหนาะๆ ผู้แฉไม่หวั่นองค์กรพุทธฟ้อง ยันขอสู้จนตาย

ภาค 5 โอนคดีให้ตำรวจภูธรเชียงใหม่ ดำเนินคดีคนแฉ “พระราชรัชุมนี” สวมบัตร ปชช.คนตาย ให้ จนท.เปรียบเทียบรูปถ่ายในบัตร เป็นคนเดียวกันหรือไม่ ด้าน “กิตติศักดิ์” โต้องค์กรพุทธ ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง บอกมีเบื้องหลังเป็นเรื่องตั้งรักษาการเจ้าอาวาสวัดพระเจ้าเม็งราย เชื่อไม่ถูกกฏหมาย-ระเบียบมหา
เถรสมาคม

กรณีพระราชรัชมุนี เจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง ต.สุเทพ ในฐานะเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ แสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชน โดยสวมบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักของ ด.ช.ดวงดี เวียงดินดำ บ้านหนองดินดำ ต.บ้านแก้ง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2538 ทั้งที่พระราชมนุี ไม่ได้มีสัญชาติไทย คือ บิดามารดา เป็นชาวไทใหญ่ ไม่ใช่เมียนมา อาศัยอยู่แนวชายแดนติดกับ อ.แม่อาย นั้น

ต่อมา ภาคีเครือข่ายองค์กรชาวพุทธจังหวัดเชียงใหม่ 7 องค์กร ได้ยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจภููธรภาค 5 ผ่าน พล.ต.ต.ชูรัตน์ ปานเหง้า รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 หัวหน้าพนักงานสอบสวน
คดีพระราชรัชมุนี สวมบัตรประชาชนคนตาย เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายกิตติศักดิ์ แสนทวีสุข ผู้เปิดโปง
หรือเรียกร้องให้ตรวจสอบพระราชรัชมุนี สวมบัตรดังกล่าว ที่ออกรายการดีเบตโต้เหตุผลค้นความจริง ทางไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยกล่าวพาดพิงคณะสงฆ์ และพระผู้ชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ ในลักษณะหมิ่นประมาท หรือใส่ร้าย เข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สงฆ์ มาตรา 44
ตรี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมานั้น

วันที่ 19 ตุลาคม 2560 พล.ต.ต.ชูรัตน์ เผยถึงความคืบหน้าคดีดังกล่าว ว่าได้โอนคดีดังกล่าวไปให้กองบังคับการตำรวจภููธรจังหวัดเชียงใหม่ ดำเนินการแทนแล้ว พร้อมให้องค์กรชาวพุทธ หรือผู้เสียหาย แจ้งความดำเนินคดีกับนายกิตติศักดิ์ ที่ สภ.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ เนื่องจากนายกิตติศักดิ์ มีภูมิลำเนา
อยู่ท้องที่ดังกล่าว โดยให้ สภ.ช้างเผือก ดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวแล้ว พร้อมให้กองบังคับการตำรวจภููธรจังหวัด รายงานคดีดังกล่าว มาให้ทราบทุกระยะ

Advertisement

ส่วนคดีพระราชรัชมุนี สวมบัตรประชาชนคนตายนั้น ได้ให้พนักงานสอบสวนมาที่วัดสวนดอก เพื่อขอประวัติและรูปถ่ายพระราชรัชมุนี นำไปเปรียบเทียบกับรูปถ่ายที่พระราชรัชมุนี สวมบัตรแทนนั้น เป็นคนเดียวกันหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ต้องให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์ให้ชัดเจนก่อน พร้อมรอหลักฐานการสวมบัตร จาก อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ มาประกอบสำนวนคดี ก่อนดำเนินคดีกับพระราชรัชมุนี ตามที่ อ.แม่อาย ได้แจ้งความไว้แล้ว ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนกฏหมาย เพื่อความละเอียดรอบคอบ เป็นธรรมทุกฝ่าย

ด้านนายกิตติศักดิ์ เผยว่า ทราบเรื่องที่องค์กรชาวพุทธ แจ้งความดำเนินคดีตนเองแล้ว แต่รู้สึกแปลกใจที่องค์กรชาวพุทธกล่าวหา เพราะไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง กรณีไปออกรายการทีวีดังกล่าว เป็นการพูดตามข้อเท็จจริง ไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสี หรือหมิ่นประมาทใคร หากมีการดำเนินคดี พร้อมต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ ไม่หนีไปไหน ขอสู้จนตาย หากตนหมิ่นประมาท ใส่ร้ายคณะสงฆ์ หรือพระชั้นผู้ใหญ่ ทำไมท่านไม่ออกมาแจ้งความดำเนินคดีกับผมเอง ให้องค์กรชาวพุทธมาแจ้งความดำเนินคดีทำไม

“การกล่าวหาและดำเนินคดีกับผม เชื่อว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เกี่ยวกับพระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง พร้อมพระราชรัชมุนี และพวก ได้มีคำสั่งปลดพระมหาระวีวัฒน์ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเจ้าเม็งราย ต.พระสิงห์ อ.เมือง
เชียงใหม่ อย่างไม่เป็นธรรม โดยกล่าวหาว่าไม่พัฒนาวัด และมีทุจริตภายในวัดดังกล่าว ก่อนพระราชรัชมุนี แต่งตั้งพระเทพมังคลาจารย์ ซึ่งเป็นพระอุปฌาย์ สมัยบวชเป็นพระที่วัดท่าตอน มารักษาการเจ้าอาวาสดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และไม่เหมาะสม ที่ให้รองเจ้าคณะเจ้าจังหวัด มารักษาการเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้ ซึ่งคำสั่งดังกล่าว เชื่อว่าไม่ชอบด้วยกฏหมาย และขัดต่อระเบียบของมหาเถรสมาคม จึงถามกลับว่า ทำไปทำไม ใครได้รับประโยชน์มากที่สุด” นายกิตติศักดิ์ กล่าว

Advertisement

นายกิตติศักดิ์ กล่าวอีกว่า การออกมาเปิดโปงพระราชรัชมุนี สวมบัตรประชาชนแทนคนตายนั้น เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา และเป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนิกชน ไม่ได้ทำ เพื่อประโยชน์ตนเอง ถ้าพระราชรัชมุนี ไม่ผิด ทำไมหลบหนี ล่าสุด มีผู้บริจาคเงิน 155,000 บาท แก่ผู้แจ้งเบาะแสว่าพระราชรัชมุนี พักพิงหรือหลบหนีไปอยู่ที่ใด และอาจมีผู้บริจาคเงินเพิ่มเพื่อเป็นรางวัลสินบนดังกล่าว ก่อนนำตัวพระราชรัชมุนี มาดำเนินคดีตามกฏหมายบ้านเมืองต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image