เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ที่กระทรวงแรงงาน ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งชาติ นำโดยนางสุจิน รุ่งสว่าง ผู้ประสานงานฯ นำเครือข่ายแรงงานนอกระบบ 5 ภูมิภาค กว่า 50 คนเข้าพบนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เพื่อหารือและติดตามความคืบหน้าการการเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการแรงงานนอกระบบ ปี 2561-2564 เรื่อง การพัฒนาสิทธิประโยชน์ ประกันสังคมมาตรา 40 เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงาน เรื่องการแต่งตั้งอาสาสมัคแรงงาน (อสร.) ตามกฏหมาย ในพื้นที่ กทม.
นายจรินทร์ กล่าวว่า เรื่องข้อเสนอต่างๆ นั้นตนขอรับเอาไว้ เพื่อนำไปพิจารณาต่อบนหลักเหตุ และผล ความเป็นไปได้ อยากให้แรงงานนอกระบบใจเย็นๆ และรอ อาจจะไม่ได้ทั้งหมดตามที่ขอ แต่จะพยายามขับเคลื่อนให้ได้มากที่สุด ซึ่งทราบว่าสำนักงานประกันสังคม (สปส.) มีการแก้กฎหมายเพิ่มสิทธิประโยชน์คืบหน้าไปมากแล้ว ทั้งนี้ขอยืนยันว่า ตนให้ความสำคัญกับแรงงานนอกระบบมาก เป็นกลุ่มที่มีมากถึง 20 กว่าล้านคน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ จะไปหวังพึ่งแรงงานต่างด้าวมากไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำคือให้คนเหล่านี้มีงานทำ มีรายได้ที่มั่นคง และมีสวัสดิการสังคมที่ไม่แตกต่างจากแรงงานกลุ่มอื่นๆ
ด้าน น.ส.สุชาดา เจตนาวณิชย์ ผอ.สำนักเสริมสร้างความมั่นคงแรงงานนอกระบบ สปส. กล่าวว่า ความคืบหน้าในการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์แรงงานนอกระบบตามมาตรา 40 ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมาได้ทำหนังสือยืนยันการปรับสิทธิประโยชน์ไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือสำนักเลขาฯ ครม.นำเรื่องเข้าครม.พิจารณาต่อไป โดยส่วนใหญ่ปรับเพิ่มตามที่ขอ เป็น 2 กรณี คือเพิ่มสิทธิแต่ไม่เพิ่มเงิน มี 2 ทางเลือก 1. เจ็บป่วยนอนรพ.เพิ่มค่าชดเชยการขาดรายได้จาก 200 บาท เป็น 300 บาท 2.ไม่นอนรพ.แต่นอนรักษาตัวที่บ้านก็ต้องมีใบรับรองแพทย์ ถ้าต้องรักษาเกิน 3 วันได้รับชดเชยให้วันละ 200 บาท แต่ถ้าไม่ถึง 3 วัน ได้วันละ 50 บาท ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง ส่วนกรณีเสียชีวิต หากส่งสมทบครบ 60 เดือน ได้รับเงินสงเคราะห์ 3,000 บาท
นางสุชาดา กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีเพิ่มเงินสมทบซึ่งเป็นทางเลือกใหม่นั้น แรงานจ่ายสมทบเดือนละ 300 บาท จะได้เงินทนแทนกรณีเจ็บป่วยวันละ 300 บาท,ทุพพลภาพจ่ายตลอดชีวิต, เสียชีวิตจะได้ค่าทำศพ 40,000 บาท,เพิ่มเงินบำเหน็จชราภาพเดือนละ 150 บาท ถ้าส่งสมทบครบ 180 เดือนให้เงินเพิ่มอีก 10,000 บาท และเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรคนละ 200 บาท ตั้งแต่แรกเกิดแต่ไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ คราวละไม่เกิน 2 คน
