ดาวแก่หนังเหนียว ระเบิดแล้วสองครั้ง ยังไม่ตาย

ซูเปอร์โนวาเป็นการระเบิดของดาวฤกษ์ที่สิ้นอายุขัย เมื่อดาวฤกษ์ได้ใช้พลังงานไปจนหมด แรงดันจากภายในจึงพ่ายแพ้ต่อแรงโน้มถ่วงของตัวเอง เปลือกดาวจะยุบลงสู่แก่นกลาง เกิดคลื่นกระแทกสะท้อนกลับออกมาเป็นการระเบิดที่รุนแรง

หลังการระเบิดดาวฤกษ์ดวงเดิมก็หายไป กลายเป็นแก่นที่อาจกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ ซูเปอร์โนวาจึงเปรียบเสมือนฉากตายอันอลังการของดาวฤกษ์ การศึกษากระบวนการนี้มาหลายพันกรณีของนักดาราศาสตร์ล้วนยืนยันข้อเท็จจริงนี้

จนกระทั่งได้พบกับซูเปอร์โนวาดวงหนึ่งที่มีชื่อว่า ไอพีทีเอฟ 14 เอชแอลเอส (iPTF14hls) ซึ่งตรวจพบเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน 2557 โดยระบบพีทีเอฟ (PTF–Palomar Transient Factory) ซึ่งเป็นระบบค้นหาวัตถุแปรแสงบนท้องฟ้าอัตโนมัติ เช่นดาวแปรแสง ซูเปอร์โนวา

เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบการระเบิดนี้เป็นครั้งแรก พบว่าลักษณะของสเปกตรัมที่ปรากฏไม่มีอะไรแปลกไปจากซูเปอร์โนวาชนิด 2-พี ทั่วไป ซูเปอร์โนวาชนิดนี้ส่องสว่างอยู่ราว 100 วันก่อนที่จะค่อย ๆ หรี่ลงไป

Advertisement

ซูเปอร์โนวา ไอพีทีเอฟ 14 เอชแอลเอส ได้หรี่แสงลงไปตามแบบที่ควรจะเป็น แต่หลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือนกลับสว่างเพิ่มขึ้นอีก แล้วก็หรี่ลงอีก แล้วก็สว่างขึ้นอีกกลับไปกลับมา ภายในสามปีหลังจากการระเบิดครั้งแรกที่พบ ซูเปอร์โนวานี้ได้สว่างขึ้นและจางลงไม่น้อยกว่าห้ารอบ

“นี่เป็นเหตุการณ์ที่ชวนพิศวงงงงวยที่สุด” ปีเตอร์ นูเจนต์ นักวิทยาศาสตร์อาวุโสจากห้องทดลองแห่งชาติลอเรนซ์ ณ เบิร์กลีย์กล่าว

เมื่อเห็นว่านี่คงจะไม่ใช่ซูเปอร์โนวาธรรมดาแน่ นักดาราศาสตร์จึงไปค้นหาข้อมูลย้อนหลังจากคลัง เผื่อว่าจะพบเบาะแสอะไรบางอย่างมาช่วยคลายข้อสงสัย

แต่แล้วก็ต้องงงหนักขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าเมื่อปี 2497 ที่ตำแหน่งเดียวกันนี้ก็เคยมีการระเบิดมาแล้วครั้งหนึ่ง นี่แสดงว่าดาวดวงนี้เคยระเบิดมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งเมื่อหกสิบปีก่อน แล้วรอดตายมาระเบิดอีกครั้ง

ทฤษฎีหนึ่งที่ถูกสนอขึ้นมาเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ประหลาดนี้คือ การระเบิดนี้เป็นผลจากดาวฤกษ์มวลสูงมากจนสร้างปฏิสสารขึ้นที่แก่นกลางได้ แดเนียล คาเซน ศาสตราจารย์ฟิสิกส์และดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ เบิร์กลีย์ อธิบายว่า “มันทำให้ดาวขาดเสถียรภาพอย่างมากจนเกิดการปะทุขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าภายในเวลาไม่กี่ปี” นักวิจัยครั้งนี้ได้คำนวณว่า ดาวฤกษ์ต้นกำเนิดซูเปอร์โนวานี้มีมวลก่อนระเบิดครั้งแรกไม่น้อยกว่า 50 เท่าของดวงอาทิตย์

“แต่การระเบิดในลักษณะนี้มันน่าจะเกิดขึ้นในช่วงแรกของการกำเนิดเอกภพเท่านั้น และไม่น่าจะมีอีกแล้วในปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องแปลกที่ได้พบซูเปอร์โนวาเช่นนี้” แอนดี โฮเวลล์ หัวหน้าคณะศึกษาซูเปอร์โนวาแอลซีโอกล่าว “มันเหมือนกับการเจอไดโนเสาร์ในปัจจุบัน ซึ่งถ้าคุณเจอจริงๆ ก็คงต้องสงสัยว่านั่นเป็นไดโนเสาร์ของจริงหรือเปล่า”

นักดาราศาสตร์จะยังคงติดตามไอพีทีเอฟ 14 เอชแอลเอสนี้ต่อไปด้วยเครือข่ายแอลซีโอ เพื่อที่จะดูว่าความสว่างจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อไปอีก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image