เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานบรรยากาศการรวมตัวกันของผู้ประท้วงเกือบ 2 พันคน ที่ออกมาเดินขบวนประท้วงไปตามท้องถนนในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อแสดงการต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ที่กำลังหารือทวิภาคีอยู่กับประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ของฟิลิปปินส์ โดยกลุ่มผู้ประท้วงได้ส่งเสียงตะโกนต่อต้าน ถือแบนเนอร์ประท้วงขับไล่ใจความว่า “ทรัมป์กลับบ้านไป” และ “แบน ทรัมป์#1ผู้ก่อการร้าย” และถือหุ่นรูปหน้าทรัมป์อยู่บนเครื่องหมายสวัสดิกะ สัญลักษณ์ของเผด็จการนาซีเยอรมัน เดินขบวนประท้วงไปตามท้องถนนสายต่างๆ ก่อนที่กลุ่มผู้ประท้วงจะเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลซึ่งได้ใช้สายยางขนาดใหญ่ฉีดน้ำเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงเพื่อให้สลายการชุมนุม โดยมีรายงานเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 6 นายจากเหตุการปะทะชุลมุนกันครั้งนี้
ขณะที่มีรายงานว่าในการพบหารือทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีดูแตร์เตกับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอยู่ในระหว่างภารกิจการเยือนประเทศฟิลิปปินส์เป็นทางการและเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจาที่กรุงมะนิลา นายทรัมป์กล่าวกับนายดูแตร์เตในระหว่างการหารือทวิภาคีว่า “เรามีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม นี่เป็นความสำเร็จอย่างมาก” นายทรัมป์ยังกล่าวชื่นชมนายดูแตร์เตที่จัดงานประชุมสุดยอดครั้งนี้ได้อย่างสวยงาม และว่า เขารู้สึกสนุกมากที่ได้มาที่นี่
มีรายงานข่าวว่า ขณะที่คณะผู้สื่อข่าวถูกเชิญให้ออกจากห้องหารือก่อนที่ผู้นำทั้งสองจะเริ่มต้นการหารือกัน ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งเอ่ยปากถามประธานาธิบดีทรัมป์ว่าจะมีการยกประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนขึ้นมาหารือกับผู้นำฟิลิปปินส์หรือไม่ ซึ่งนายดูแตร์เตกล่าวติดตลกว่าสื่อเป็น”สายลับ” ก่อนที่ผู้นำสหรัฐและผู้นำฟิลิปปินส์จะระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น แต่ไม่มีใครตอบคำถามนี้กับนักข่าว
โฆษกของนายดูแตร์เตเปิดเผยในภายหลังว่า ผู้นำสหรัฐไม่ได้หยิบยกประเด็นความห่วงกังวลในเรื่องสิทธิมนุษยชนขึ้นมาหารือกับผู้นำฟิลิปปินส์ในการพบปะกันเป็นเวลาราว 40 นาที อย่างไรก็ตาม ซาราห์ ฮัคคาบี โฆษกหญิงของประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า มีการยกเรื่องสิทธิมนุษยชนขึ้นมาพูดคุย แต่เป็นการพูดคุยกันสั้นๆเท่านั้น
ทั้งนี้ก่อนเข้าพบหารือกับผู้นำฟิลิปปินส์ บรรดากลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวถึงการทำสงครามปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลนายดูแตร์เต ที่ทำให้เห็นตำรวจและพวกตั้งศาลเตี้ยสังหารผู้คนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดไปแล้วนับหลายพันคนนับจากที่นายดูแตร์เตขึ้นมาบริหารประเทศฟิลิปปินส์เมื่อ 16 เดือนก่อน