ศาลเลื่อนตรวจหลักฐานคดี’เมีย-กิ๊ก’อดีตทนายแสบโกงค่าสินไหม’น้องบีม’ ม.ค.61

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่สภาทนายความ ว่าที่ พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง โฆษกสภาทนายความ กล่าวถึงคดีที่นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ อดีตทนายความ ฉ้อโกงเงินค่าสินไหมทดแทนของ ด.ญ.ภัทรดา แก้วผ่อง หรือน้องบีม เด็กหญิงพิการ ว่า สภาทนายความได้ให้ความช่วยเหลือทั้งคดีแพ่งและคดีอาญารวม 3 สำนวน ล่าสุดที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานและสอบถามคำให้การจำเลย คดีหมายเลขดำที่ อ.3509/2560 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.พรปวีณ์ ชูแก้ว กับ น.ส.ภัทรวดี หรือฐิตาภา สวัสดี ฐานฉ้อโกงและยักยอก ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ กรณีไปกล่าวอ้างและแสดงตัวว่าเป็นตัวแทนของบริษัทขนส่งแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ที่เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดไชยา มาเจรจาขอให้รับเงินเพียงประมาณ 3 ล้านบาท ทั้งที่ศาลจังหวัดไชยาพิพากษาให้ชำระหนี้รวม 5 ล้านบาท ซึ่ง น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ มารดาของน้องบีม ตกลงแต่ก็จ่ายมาเพียง 2.8 แสนบาท ซึ่งมูลคดีเดียวกันนี้ ศาลพิพากษาจำคุกนายพิสิษฐ์เป็นเวลา 5 ปี 2 เดือน ไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ว่าที่ พ.ต.สมบัติ กล่าวต่อไปว่า สภาทนายความและเนติบัณฑิตยสภา กระทรวงยุติธรรม ได้ร่วมกันติดตามเรื่องมาตลอด โดยคดีที่ศาลจังหวัดตลิ่งชันได้ยื่นคำร้องให้ น.ส.พรทิพย์ และน้องบีมในฐานะผู้เสียหาย เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 และยื่นคำร้องขอให้จำเลยใช้ค่ายสินไหมทดแทนตามมาตรา 44/1 จำนวน 5 ล้านบาท ศาลอนุญาต โดยวันนัดดังกล่าวจำเลยที่ 2 มาศาล แต่จำเลยที 1 ไม่มาเพราะตัวถูกย้ายไปขังที่เรือนจำชุมพร เนื่องจากมีคดีอาญาอื่นที่ศาลจังหวัดชุมพร และมีนัดสืบพยานในเดือน ธันวาคม2560 ศาลเห็นว่า คดีอาญาต้องพิจารณาโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย แต่มีเหตุสมควรจึงให้เลื่อนการตรวจพยานและสอบถามคำให้การเป็นวันที่ 16 มกราคม 2561 เวลา 09.00 น.ต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ครอบครัวของน้องบีมถูกรถเทลเลอร์ของบริษัทขนส่งแห่งหนึ่งชนที่ จ.สุราษฎร์ธานี โดยสามีของ น.ส.พรทิพย์ พ่อน้องบีมเสียชีวิต ขณะนั้นน้องบีมอายุ 7 ขวบ ต้องพิการไม่สามารถทรงตัวยืนได้ รับการรักษาในกรุงเทพฯ มาตลอด น.ส.พรทิพย์ พามาช่วยขายของที่วัดชลประทานฯ จ.นนทบุรี และได้ฟ้องบริษัทรถเทลเลอร์ที่ศาลจังหวัดไชยาจนชนะคดี ต่อมามีผู้แนะนำให้รู้จักนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความ อายุ 60 ปี ขันอาสารับดำเนินคดีต่อชั้นบังคับคดี แต่กลับมีพฤติการณ์ไปทำคำร้องไม่ติดใจบังคับคดี แล้วแอบไปรับเช็คจากบริษัทดังกล่าวรวม 35 ใบกับเงินสดจำนวนหนึ่ง แล้วให้อดีตภรรยากับสาวคนสนิทผลัดกันไปพูดจาหว่านล้อม น.ส.พรทิพย์ ว่าบริษัทไม่มีเงิน ให้รับเงินก้อนหนึ่งไว้ก่อนดีกว่าไม่ได้อะไรเลย จากนั้นให้ทำสัญญาประนอมความและรับเงินไปเพียง 2.8 แสนบาทเท่านั้น แล้วก็หายหน้าไป ต่อมาตำรวจนครบาลตามจับนายพิสิษฐ์ได้ส่งศาลพิพากษาจำคุกไม่รอลงอาญา เมื่อตำรวจจับ น.ส.พรปวีณ์ กับ น.ส.ฐิตาภา ได้ภายหลัง จึงส่งอัยการสั่งฟ้องตามมา

สำหรับนายพิสิษฐ์ สภาทนายความประชุมใหญ่ลบชื่ออกจากการเป็นทนายความแล้ว นอกจากนี้ ทางสภาทนายความได้จัดทีมไปร้องศาลจังหวัดไชยา ขอเพิกถอนคำร้องสละสิทธิ์การบังคับคดีและขอบังคับคดีต่อไป ส่วนคดีแพ่งที่ยื่นฟ้องอีกสำนวนฐานผิดสัญญาตัวแทนและให้รับสภาพหนี้ คดีอยู่ระหว่างพักการพิจารณาเพื่อรอผลคดีอาญา

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image