สหรัฐปรับลดระดับ “ความดันสูง” ใหม่ ส่งผลครึ่งประเทศกลายเป็นคนความดันสูง

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน (เอเอชเอ) กำหนดมาตรฐานสำหรับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ที่มีความดันโลหิตสูงของสหรัฐอเมริกาเสียใหม่ ให้ลดลงจากที่เคยกำหนดไว้เดิมที่ 140/90 เอ็มเอ็มเอชจี (มิลลิเมตรปรอท) ให้เหลือเพียง 130/80 เอ็มเอ็มเอชจี โดยคาดหวังว่ามาตรฐานใหม่นี้จะช่วยให้ผู้มีอาการเข้ารับการรักษาเร็วขึ้นกว่าเดิม

พอล เวลตัน ผู้เขียนแนวทางใหม่สำหรับการวินิจฉัยอาการความดันโลหิตสูง ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการด้านโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายฉบับ รวมทั้ง อเมริกัน ฮาร์ท แอสโซซิเอชั่น เจอร์นัล อธิบายว่า บุคคลที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการความดันโลหิตสูงตามกำหนดใหม่นี้ ไม่ได้หมายว่าบุคคลดังกล่าวจำเป็นต้องรับประทานยาหรือรับการบำบัดทางการแพืย์แต่อย่างใด แต่เปรียบเสมือนเป็นสัญญาณไฟเหลืองในสัญญาณไฟจราจร ที่แสดงให้เห็นว่า บุคคลดังกล่าวจำเป็นต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อลดระดับความดันเลือดลง ในขณะที่ยังกระทำได้ด้วยวิธีการที่ไม่ใช่การใช้ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การลดน้ำหนัก, ออกกำลังกายให้มากขึ้น, รับประทานให้ถูกสุขลักษณะขึ้น, หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเค็มจัด, การดื่มแอลกอฮอล์, เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงภาวะเครียด นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม มาตรฐานที่กำหนดใหม่นี้ จะส่งผลให้เกือบครึ่งหนึ่งของคนอเมริกันทั้งประเทศ คือราว 46 เปอร์เซ็นต์ ตกอยู่ในนิยามของการเป็นผู้มีอาการความดันโลหิตสูง สูงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ที่อยู่ในระดับราว 1 ใน 3 ของประชากร (ราว 32 เปอร์เซ็นต์)

ทั้งนี้ อาการความดันสูงถือเป็นสาเหตุที่ป้องกันได้ซึ่งนำไปสู่การป่วยเป็นโรคหัวใจและภาวะเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน (สโตรค) ที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 รองลงมาจกการสูบบุหรี่นั่นเอง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image