‘สนธิรัตน์’ กางแผนขับเคลื่อนไม่หยุด เศรษฐกิจ ‘ฐานราก’

หลายฝ่ายยังมองว่าการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ จะเปลี่ยนแค่ตัวบุคคล แต่แนวทางนโยบายยังไม่เปลี่ยนโดยเฉพาะแนวนโยบายทางเศรษฐกิจ ยังถูกมองว่ามาถูกทางแล้ว!!

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้สัมภาษณ์ “มติชน” ถึงแนวทางตามนโยบายของทีมเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น และแนวทางที่จะเห็นในปีหน้า หรือจนกว่าจะถึงการเลือกตั้ง

ความคืบหน้าตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

ผมมารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมกับโจทย์จากรองนายกฯสมคิด (จาตุศรีพิทักษ์) ใน 2 หัวข้อ ข้อหนึ่ง ดูแลเรื่องปากท้องประชาชน ของแพง จะแก้อย่างไร ข้อสอง ดูเรื่องโลคอลอีโคโนมี่ ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการปฏิรูปเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน ที่ผ่านมาไม่มีใครดูอย่างจริงจัง ผมก็คิดหัวแทบแตกว่าจะแก้อย่างไรแล้วก็มองว่าต้องแก้ที่เอาต์เล็ตก่อน

Advertisement

หลักคือ ที่ไหนมีตลาด ที่นั่นเศรษฐกิจหมุนเร็ว เรื่องกำลังซื้อดีหรือกำลังซื้อไม่ดีค่อยมาคิดว่าจะทำอย่างไรต่อจากนั้น คนเมื่อรู้ว่ามีโอกาสค้าขายได้ ย่อมตื่นตัว

ผมเคยลำบากมาก่อน รู้ว่าเมื่อมีหนี้แยะต้องทำอย่างไร การมีอาชีพทำจึงเป็นทางออกหนึ่ง แม้จะเป็นการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ อย่างขายก๋วยเตี๋ยว ขายข้าวราดแกง กล้วยปิ้ง หรือมีจุดค้าเล็กๆ ใกล้บ้าน

เมื่อนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสำหรับผู้มีรายได้น้อยมา เป็นโอกาสทองของผม มีเงินลงสู่ระบบกระตุ้นกำลังการใช้จ่าย ลดค่าครองชีพ เดือนละ 3 พันกว่าล้านบาท ผมเลยอาสารองนายกฯสมคิด ใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นรากหญ้าไปพร้อมกัน กว่าจะได้เฟสแรกใช้จริง 1 ตุลาคมที่ผ่านมา นอนไม่หลับเพราะนโยบายเคาะเดือนกันยายน ก่อนเริ่มใช้บัตรจริงเพียง 2 สัปดาห์ คิดว่าจะทำอย่างไรให้ทันกับผู้ถือบัตร ถ้าเมื่อก่อนแค่นำไปใช้กับร้านอะไรก็ได้ แต่ผมอยากให้เงินเข้าระบบฐานรากแบบครบวงจร

Advertisement

ความยากมีหลายอย่าง ต้องมีร้านที่รองรับ 11.4 ล้านคน กระจายอยู่ทั่วประเทศ บางแห่งไกลมาก อีกทั้งร้านค้าย่อยหรือโชห่วย ที่ผ่านมาน่าจะไม่ต่ำกว่า 20 ปีไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทำให้แข่งขันกับค้าปลีกสมัยใหม่ไม่ได้ แต่เทรดดิชั่นนัลเทรด (ร้านโชห่วย) เป็นตลาดใหญ่ กระจายอยู่ทั่ว และไม่มีความพร้อม ก็ขอให้กระทรวงการคลังร่วมมือพัฒนานำเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปติดตั้ง

ผมสั่งงานพาณิชย์จังหวัดแบบรายวันไปสำรวจและคัดเลือกดูให้ตรงกับจำนวนประชากรที่ถือบัตรสวัสดิการ โดย 1 ร้านต้องรองรับได้ 600 คนอย่างต่ำ แรกๆ ก่อนเดือนตุลาคมมีร้านโชห่วยเข้าโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐน้อยมาก เพราะเกรงเรื่องถูกเก็บภาษี ผมสอนให้พาณิชย์จังหวัดว่าควรจะพูดอย่างไร และให้ข้อเท็จจริงว่าเป็นโอกาสของร้านค้าเอง บี้เป้าพาณิชย์จังหวัดทุกวันให้เกิดตื่นตัว จนได้จำนวนมา 3.6 หมื่นราย

แต่การติดตั้งเครื่องรูดบัตรสวัสดิการของคลังทำได้ไม่เร็วนัก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ติดตั้งเครื่องได้มากสุดในเวลาอันสั้น ถึงวันนี้ติดตั้งได้ 1.2 หมื่นร้านค้า สิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้จะเพิ่มเป็น 1.8-2 หมื่นร้านค้าตามเป้าหมาย ครอบคลุมให้บริการแล้ว 10 ล้านคน จาก 11.4 ล้านคน หรือกว่า 90% ที่เหลือน่าจะอยู่ที่ยังไม่ได้บัตร

เฟส 1 บริการให้ได้ เฟส 2 ครอบคลุมพื้นที่ที่ทำคู่กับเสริมสินค้าชุมชนเข้าไปวางขาย สินค้าทั่วไป อาทิ สบู่ ผงซักฟอก นม ก็มีผู้ผลิตป้อนทางร้านปกติ ตอนนี้ผมเน้นสินค้าจากแหล่งชุมชน โดยเฉพาะข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำปลา กะปิ ผักสด ขอให้ผู้ผลิตใส่ใจเรื่องคุณภาพ

ตอนนี้ผู้ผลิตหลายรายร่ำรวยเพราะวางขายในร้านสะดวกซื้อเป็นตัวอย่างให้เขาได้เห็น เฟส 3 ตอนนี้ เอาโมเดลเชียงใหม่มามอบเป็นนโยบายพาณิชย์จังหวัด ที่มีการต่อยอดร้านธงฟ้าประชารัฐ 2 ทางคือ ในส่วนของร้านค้า ไม่แค่เพิ่มสินค้าชุมชน แต่เพิ่มเติมภาคบริการ เป็นเคาน์เตอร์เซอร์วิส เป็นร้านโชห่วยไฮบริด พร้อมกับให้พาณิชย์จังหวัดนำรถเคลื่อนที่ขายสินค้าจำเป็นไปให้บริการถึงแหล่งผู้อาศัยผู้มีรายได้น้อยเดือนละครั้ง

บางจังหวัดที่มีพื้นที่เกาะที่มีผู้ถือบัตร 12 คนนั้น จะนำเครื่องรูดไปติดตั้งก็ไม่ควร จะใช้ใบสั่งซื้อสินค้าที่มีรายการสินค้าต่างๆ แล้วให้ผู้ถือบัตรได้กรอกว่าต้องการอะไร แล้วให้พื้นที่เกาะใกล้เคียงนำไปส่ง เช่น ใน จ.สุราษฎร์ธานี จับคู่เกาะเต่ากับเกาะพะงัน เป็นต้น

ในแผนยังจะเดินหน้าเพิ่มจำนวนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐอีก 1 หมื่นร้านค้า เป็น 3 หมื่นร้านค้าในปีหน้า ตอนนี้มีร้านค้าสมัครเข้าโครงการแล้วกว่า 3 หมื่น ติดตั้งเครื่องแล้ว 2 หมื่นตามเป้าหมาย ยังเหลือเป็นหมื่นราย ก็จะคัดเลือกไปทดแทนร้านค้าที่ถูกร้องเรียนว่าเอาเปรียบประชาชน บางพื้นที่รองรับไม่ไหวก็จะเพิ่มร้านธงฟ้า แต่ต้องมีระยะที่ห่างกัน

กังวลเรื่องความไม่ต่อเนื่อง เพราะบัตรคนจนอายุแค่ปีเดียว หรืออาจเลิกหลังมีเลือกตั้ง หรืออาจถูกปรับ ครม.

ก่อนเสนอแนวทางนี้ ท่านรองฯสมคิดถามผม 3 ครั้ง เอาแน่ไหม มั่นใจไหม ผมบอกแน่ใจ ผมมาทำงานเป็นรัฐมนตรี ไม่ได้มาเป็นนักการเมือง อยู่ต่อก็ได้ ออกก็ได้ เมื่อผู้ใหญ่เชื่อมั่นและให้โอกาสผมทำงาน ปรับ ครม.ครั้งนี้ให้ผมออกผมก็ออก ย้ายก็ต้องย้าย ผมทำหน้าที่เสร็จแล้วในส่วนที่ผมดูแล ถือว่าทำหน้าที่แล้ว และผมทำสุดความสามารถ ปรับอย่างไร ไม่มีใครตอบได้

ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่กระทรวงอุตสาหกรรม ผมทำอะไรไว้แยะ ปรับ ครม.ครั้งก่อน ก็อยากไปสานงานต่อ งานค้างไว้แยะ ตอนนี้ขึ้นราก็หลายเรื่องแล้ว มากระทรวงพาณิชย์ ผมพัฒนาได้ ผมเป็นมือบริหาร ถือว่าเรามีหน้าที่ ก็ต้องทำให้สำเร็จ

ส่วนตัวผมเชื่อว่าปรับ ครม.ด้านนโยบายเศรษฐกิจก็ไม่เปลี่ยน ยิ่งปีหน้านโยบายรัฐบาลเน้นเศรษฐกิจฐานรากอยู่แล้ว ตอนนี้ตัวเลขส่งออกไปต่างประเทศเราดีพอสมควร เศรษฐกิจประเทศดีแล้ว จากนี้กำลังลงไปฐานราก ปรับ ครม.ไม่เปลี่ยนไดเร็กชั่น แต่เรื่องคน ผมไม่ทราบ เป็นสิ่งที่ท่านรองฯสมคิดกับท่าน

นายกฯคุยกัน นโยบายเศรษฐกิจปีหน้าชัดเจนจะเน้นฐานรากมากขึ้น ปีหน้าต้องทำงานเชิงรุก เราตั้งรับมานาน แต่รุกได้ฐานต้องแน่นก่อน ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมกระตุ้นเศรษฐกิจดีแล้ว เป็นโอกาสรุกปีหน้า แต่เป็นปีทำงานหนักก่อนเลือกตั้ง นโยบายหลังเลือกตั้งการดูแลฐานรากก็เชื่อว่ายังเป็นนโยบายหลักด้านเศรษฐกิจ

นโยบายกระตุ้นฐานรากในส่วนของผม เตรียมไว้อีกหลายโครงการ ใช้ศักยภาพของแต่ละหน่วยงาน ควบคู่กับการดูแลเรื่องความเป็นธรรมทางการค้า ตอนนี้กำลังเก็บข้อมูลและหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะดำเนินอย่างไรในการลดต้นทุนรายย่อย หรือลดภาระการธุรกิจเอสเอ็มอี โดยเฉพาะเรื่องค่าเช่าแพง ค่าธรรมเนียมสูงจนไม่เหลือกำไรให้ผู้ค้ารายเล็กๆ เพราะถ้าลดต้นทุนไม่ได้ คนจนก็จะลำบากต่อไป ปีหน้าจะเพิ่มการค้าบริการให้มากขึ้น ไม่ได้มุ่งแต่เรื่องขายปริมาณสินค้ามากๆ อย่างที่ผ่านมา ค้าบริการจะเป็นหัวหอกสำคัญต่อการเพิ่มรายได้และเงินในระบบเศรษฐกิจ

มองอย่างไรกับเสียงเรียกร้องให้เพิ่มเงินซื้อสินค้าให้มากกว่า 200-300 บาท/เดือน

ก่อนจะเพิ่มเงินหรือไม่ ส่วนตัวผมมีคำถามอยู่ หลังจากลงพื้นที่ตรวจสอบการใช้จ่ายในร้านธงฟ้าประชารัฐ มากว่า 1 เดือน มักมีคนไม่มีรายได้อยากได้บัตร คิดว่าการขึ้นทะเบียนคนจนจริงๆ ยังตกหล่นไหม บางคนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนแต่เป็นคนจน เพราะมีคนมาบอกว่าจะถูกตัดสิทธิที่ได้อยู่ กลัวถูกตราหน้าว่าเป็นคนจน กู้ยืมอะไรไม่ได้ อีกทางก็เจอว่าคนไม่ได้ถือครองทรัพย์สินอะไร แต่อยู่ดีกินดี น่าจะถูกตัดสิทธิไหม แล้วนำเงินมาให้คนจนจริงและทั่วถึงได้มากขึ้น เรื่องนี้จะตรวจสอบก่อน และทำพร้อมกับสนับสนุนให้คนเหล่านี้ ต่อยอดเป็นคนมีอาชีพ แต่ทั้งหมดนี้คงต้องประกอบกับเรื่องงบประมาณที่ต้องนำมาใช้ด้วย

รู้สึกอย่างไร รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ติดโพลให้ถูกปรับ ครม.

ผมไม่กังวลอะไรหากจะถูกปรับออก ผมไม่ใช่ ส.ส. ผมดูแลเรื่องงานในประเทศ รัฐมนตรีว่าการก็ดูในเรื่องการเจรจาระหว่างประเทศ การค้าต่างประเทศ ก็มีแผนงานและปรับเปลี่ยนกันมาตลอด ก่อนผมทำย้อนไปก่อนรัฐบาลมา ก็จะพบว่าสภาพเศรษฐกิจหนักมาก ส่งออกติดลบ ลงทุนจากต่างชาติจะเจอข่าวย้ายไปลงทุนในเวียดนาม อินโดนีเซีย หรือมาเลเซีย ไม่มีเอ็นจิ้น (เครื่องมือพื้นฐาน) ในการขับเคลื่อนประเทศ จึงต้องเพิ่มเครื่องมือ ทั้งโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) นโยบายไทยแลนด์ 4.0 การกำหนดเป้าหมายผลักดันภาคอุตสาหกรรมศักยภาพสูง ตอนนี้เห็นเป็นรูปธรรมแล้ว ภาคส่งออกก็ฟื้นตัวซึ่งเป็นปัจจัยดีจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และฝีมือการทำงานของรัฐและเอกชนเองด้วย ทำให้เกินเป้าหมายทำงานต้องไม่ต่ำกว่า 5% แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ ต้องระวัง S-curve ทางเศรษฐกิจ เพราะฐานรากเพิ่งฟื้นจากหนี้เต็มตัว เอสเอ็มอีต่ำ จีดีพีประเทศต่ำไม่ถึง 1% เหมือนคนป่วยเพิ่งฟื้นตัว ต้องให้เวลา ตอนนี้พอวิ่งได้แต่ก็ยังเหนื่อย ต้องอุ้มคนที่พออุ้มได้ก่อน บัตรสวัสดิการให้ผู้มีรายได้น้อยจึงเป็นสิ่งที่ดี ไม่แค่มีเงินใช้จ่ายเดือนละ 3 พันล้านเข้าระบบ แต่ความเป็นจริงเงินนั้นถูกใช้หลายรอบ ก็จะเพิ่มมูลค่าเป็นหมื่นเป็นแสนล้านในระยะเวลาปีเดียว

งานผมยังมี ต้องต่อยอดจากจุดนี้เพื่อกระตุ้นฐานราก ยังไม่จบ ก็กังวลแค่นี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image