นายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ ประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคใต้ หอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในการประชุมหอการค้าทั่วประเทศระหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายนนี้ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี หอการค้าภาคใต้จะเสนอแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ, รถไฟเชื่อมโยงในจังหวัดท่องเที่ยว,สนามบิน และถนน มูลค่ารวม 500,000 ล้านบาท เพื่อให้หอการค้าไทยทำหนังสือถึงรัฐบาลพิจารณา เนื่องจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในภาคใต้ชะลอมาหลายปี ขณะที่บางโครงการอยู่ในแผนงานของกระทรวงคมนาคมนาน10-20 ปี แต่ก็ไม่มีรัฐบาลชุดใดอนุมัติงบประมาณอย่างจริงจัง
นายวัฒนา กล่าวว่า หากรัฐบาลอนุมัติลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมเชื่อว่าจะมีภาคเอกชนจำนวนมากพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะโรงแรม,รีสอร์ท, ร้านอาหาร, ศูนย์การค้าและอื่นๆ เนื่องจากมองว่าภาคใต้มีศักยภาพมาก เพราะมีชายหาดทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามันที่สวยงามและยาวจนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างเดียวนอกจากนี้ภาคใต้ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ประเทศไทยเชื่อมโยงกับอาเซียนบวก6 ซึ่งมีสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ รวมกับ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และอินเดีย
“ตอนนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผุดแผนโครงการเมกะโปรเจ็คท์ในภาคใต้เต็มไปหมด แต่ไม่เห็นมีงบประมาณลงมาเลย จนบางโครงการอยู่ในแผนนาน 10-20 ปี เมื่อเอกชนเข้าไปสอบถามหน่วยงานภาครัฐบอกว่าอยู่ในแผนแล้ว ดังนั้นหอการค้าภาคใต้จำเป็นต้องเสนอแผนให้หอการค้าไทยช่วยประสานกับรัฐบาลในการเดินหน้าโครงการอย่างจริงจัง เบื้องต้นอยากให้มีงบผูกพันในการลงทุนประมาณ 500,000 ล้านบาท ซึ่งแค่ 20% ของโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งรัฐบาลโหมโรงกันอย่างมาก โดยเชื่อว่าศักยภาพของภาคใต้กับภาคตะวันออกก็ไม่ต่างกัน”นายวัฒนากล่าว
นายวัฒนา กล่าวอีกว่า การพัฒนาจังหวัดภาคใต้จะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ 3 จังหวัดภาคใต้และ 11 จังหวัด รวมเป็น 14 จังหวัด อย่างไรก็ตามหากไม่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใน 11 จังหวัดก็จะเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะพัฒนา 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้ เพราะทุกอย่างจะมีการเชื่อมโยงกันทั้งฝั่งอ่าวไทย อันดามัน และ 3 จังหวัดภาคใต้
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยและหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ได้กำหนดจัดสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 35 ในวันที่ 17-19 พฤศจิกายนนี้ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเน้นการพัฒนาและยกระดับประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ภาค กลุ่มจังหวัด และจังหวัด ดังนั้นจำเป็นที่ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อการเติบโตไปพร้อม ๆ กัน การประชุมครั้งนี้จะช่วยเป็นแรงผลักดันเศรษฐกิจของประเทศโดยช่วยจุดประกายให้กับทุกภาคส่วนได้มามีส่วนร่วม ในการสร้างให้เกิดมูลค่าเพิ่ม เกิดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุค 4.0 การสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคธุรกิจ ตั้งแต่ขนาดใหญ่ เอสเอ็มอี จนถึงระดับชุมชนในท้องถิ่นทุกจังหวัด ได้เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป
