ปรับครม. เพื่ออนาคต อนาคต ประยุทธ์ อนาคต คสช.

ข่าวคราวการปรับคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 5” ยืนยันว่าปรับแน่

ยืนยันเมื่อ พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมาภายหลังการประชุม ครม.

พ.อ.อธิสิทธิ์เปิดเผยว่า ช่วงท้ายการประชุม ครม.

นายกฯได้กล่าวกับรัฐมนตรีว่า หลายคนในที่นี้ได้ทำงานร่วมกันมากว่า 3 ปี

Advertisement

“ขอบคุณที่ทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่มีใครทำผิดพลาดบกพร่องอะไร

แต่ผมจำเป็นต้องปรับเพื่ออนาคต 

อย่าโกรธผมเลย ผมขอใช้อำนาจของผมในการปรับ”

Advertisement

คำกล่าวที่ พ.อ.อธิสิทธิ์ถอดเอาคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขึ้นมาเปิดเผย เกิดขึ้นภายหลัง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แล้วมีกระแสข่าวปรับ ครม.

บ้างก็ว่าปรับเล็ก บ้างก็ว่าปรับใหญ่ แต่ยังไม่มีคำยืนยันว่าจะปรับ

กระทั่งทีมโฆษกรัฐบาลออกมายืนยัน

ความจริงแล้วกระแสปรับ ครม. บังเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ยิ่งเมื่อรัฐบาลทำงานมาถึงปีที่ 3 หลังจาก คสช.ยึดอำนาจได้ปรากฏปัญหาหลายอย่างขึ้น

ปัญหาที่หนักหนาที่สุดคือ ปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่เดิมเรียกว่า “รากหญ้า” ต่อมาเรียกว่า “ฐานราก”

นั่นคือ ปัญหารายได้ของชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ รวมไปถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และพนักงานบริษัททั่วไป

แม้ตลอดปี 2560 ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยจะเติบโต ทั้งการส่งออกและการลงทุน และมีผลต่อดัชนีความเชื่อมั่น

แต่ก็ยังปรากฏข่าวคราวความต้องการจากชาว “ฐานราก”

ล่าสุดคือ ชาวสวนยางที่ต้องการราคายางให้สูงกว่า 40 บาท

อยากได้กิโลกรัมละ 70 บาท

นอกจากปัญหาเศรษฐกิจฐานรากแล้ว ยังปรากฏรอยร้าวเดิมในทีมงานของรัฐบาล

ระหว่างรัฐมนตรีสายทหารกับรัฐมนตรีสายพลเรือน

รอยร้าวดังกล่าวปะทุขึ้นมาตั้งแต่เริ่มตั้งรัฐบาล แต่ขณะนั้นยังไม่รุนแรงกระทบรัฐมนตรีสายทหาร

แต่หลังจาก 3 ปีผ่านไป เสียงเรียกร้องให้ลดรัฐมนตรีสายทหารลง แล้วเพิ่มมืออาชีพ ดังขึ้นเรื่อยๆ

แม้แต่การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ก็มีประเด็นเรื่องสัดส่วนรัฐมนตรีสายทหารที่ต้องลดลง

สุดท้ายคือ ปัญหาจากการยึดติด

รัฐมนตรีที่ปากบอกว่า “ทุกอย่างขึ้นกับนายกฯ” แต่ในความเป็นจริงกลับต้องการ “อยู่ต่อ”

อาการเช่นนี้เป็นทั้งรัฐมนตรีสายทหารบางคน และรัฐมนตรีสายพลเรือนบางท่าน

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงที่สุดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์มีความเห็นว่า สมควรแก่เวลา

“ผมจำเป็นต้องปรับเพื่ออนาคต”

ทุกสายตาจึงเพ่งไปดูผลของการปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์เมื่อสุดสัปดาห์ว่า ปรับ ครม.ยังไงก็ภายในเดือนธันวาคม ยืนยันว่าไม่ควบรัฐมนตรีกลาโหม และไม่มีชื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.

ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ยังอยู่

เท่ากับว่า การปรับคณะรัฐมนตรีกำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววัน

ผลดีสำหรับการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้คือ โอกาส

หากบุคคลที่เข้ามาใหม่ หรือคนเก่าที่ปรับย้าย ไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

ภาพลักษณ์ของ ครม.ย่อมดูดี ประชาชนก็เริ่มมีความหวังอีกครั้ง

โดยเฉพาะความหวังจากชาว “ฐานราก” ที่กำลังขาดรายได้

ทั้งนี้เพราะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจประกาศชัดเจนว่า ปี 2561 เป็นปีที่ไทยมีโอกาสดี

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เองก็ประสงค์จะปลุกเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง

หมายความว่า เงินงบประมาณจำนวนมหาศาล และโอกาสของชุมชนและท้องถิ่นที่จะได้ใช้เงินตามนโยบายย่อมมีสูง

เหลือเพียงแค่ทีมงานการบริหารนโยบาย ซึ่งหมายถึงรัฐมนตรีใน ครม.ประยุทธ์ 5

ถ้าสามารถนำนโยบายลงสู่การปฏิบัติ สามารถเพิ่มรายได้แก่เศรษฐกิจ “ฐานราก” ให้ได้จริง

ปี 2561 ไม่เพียงแต่จะเป็นโอกาสของประเทศไทย และชาว “ฐานราก” เท่านั้น

หากแต่จะเป็นโอกาสของ คสช.ด้วย

ทั้งนี้เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศแล้วว่า เดือนพฤศจิกายน 2561 ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งทั่วไป

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯประกาศแล้วว่า ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น

เท่ากับว่าปี 2561 จะเป็นปีแห่งการเลือกตั้ง

การเลือกตั้งหมายถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้

สิทธิในการเลือกตั้งตามกติกา แม้กติกาใหม่จะเอื้อต่อ คสช. แต่สิทธิในการเลือกก็ยังอยู่กับประชาชน

ดังนั้น หากต้องการคะแนนเสียงจากประชาชนก็ต้องทำให้ประชาชนพึงพอใจ

ถ้ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ปรับ ครม. และสามารถแปรนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้อย่างที่คิด

การคิดจะ “อยู่ต่อ” โดยได้รับการเลือกตั้งเข้ามาใหม่ก็พอมีลุ้น

ดังนั้น การปรับ ครม.ครั้งนี้ จึงเป็นปัจจัยหนึ่งในการชี้อนาคตการเมืองไทย

ชี้อนาคต คสช. อนาคต พล.อ.ประยุทธ์

รวมทั้งอนาคตการเลือกตั้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image