ลุงเลี้ยงควายที่สกลนครชี้แจงไม่มีใครหนุนแจ้งความจับ ‘ครูจอมทรัพย์’

จากกรณีมีชาวสกลนครอาชีพเลี้ยงควายเดินทางไปยัง สภ.เมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.หญิง จุฬารัตน์ อาจภิรมย์ รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองนครพนม เพื่อร้องขอให้ จนท.ตำรวจ ดำเนินคดีกับ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร และพวกที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมของไทยถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากประชาชน หลังศาลฎีฎายกคำร้องการรื้อฟื้นคดี นางจอมทรัพย์ ที่อ้างตนว่าเป็นแพะในคดีขับรถชนคนตาย และยังพบว่ามีกระบวนการของเพื่อนนางจอมทรัพย์ ดำเนินการหาผู้มารับผิดแทน จากนั้นเมื่อมีข่าวแพร่สะพัดออกไปชาวเนตต่างวิจารณ์ชายชาวสกลนครดังกล่าวว่าต้องการโหนกระแสและเข้าข้างตำรวจ

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบ นายสุดใจ คำชามา อายุ 64 ปี ที่บ้านเลขที่ 597/9 ถ.ประชาอุทิศ ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร พบนายสุดใจ บุคคลที่เดินทางไปแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับนางจอมทรัพย์ กำลังจูงควายพันธุ์ไทยอนุรักษ์ 4 ตัว เข้าคอกหลังจากกลับกินหญ้า เสร็จพร้อมกับเปิดใจให้ฟังว่า ตนติดตามคดีนางจอมทรัพย์ มาตั้งแต่ตนเกี่ยวกับที่ว่านางจอมทรัพย์ ตกเป็นแพะในคดีขับรถชนคนตาย จึงพยายามรับฟังในทุกทางอย่างเป็นกลางตามประสาชาวบ้านที่อยากรู้จนเข้าใจว่าเป็นแพะจริงๆ ต่อมาสื่อต่างนำเสนอในข้อมูลอีกด้านของตำรวจกลับพบว่า คดีนี้มีพิรุธหลายอย่าง ซึ่งจะไม่วิจารณ์มาก ก็เป็นไปตามที่ศาลได้อธิบายคำตัดสินไว้ โดยเฉพาะเรื่องหลักฐานใหม่ที่ทางฝั่งนางจอมทรัพย์ ไม่นำมาแย้งต่อศาลให้รับฟัง และอีกหลายๆด้าน จนสืบไปสืบมา กลายมีกระบวนการเกิดขึ้นจริง ระหว่างนั้นที่รอคำตัดสินในการรื้อฟื้นคดี กลายเป็นว่าชาวบ้านในระแวกตนเสียงแตก ต่างวิจารณ์กระบวนการยุติธรรมไปต่างๆนาๆ ซึ่งตนก็พยายามอธิบายข้อพิรุธหลายด้านให้เพื่อให้ใจเป็นกลางลดอคติคอยวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลและไม่ก้าวล่วงอำนาจศาล

หลังจากคดีตัดสินมีการยกคำร้อง ตนในฐานะชาวบ้านธรรมดาที่เป็นเกษตรกรเลี้ยงควายทนไม่ได้ที่จะให้กรณีนี้เป็นตัวอย่างแล้วก็แล้วไป เพราะฝั่งตำรวจเสียหาย ต้องบอกก่อนว่าตนไม่ได้เข้าข้างหรือเชียร์ตำรวจทุกด้าน บางด้านก็ไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่ชอบก็มี แต่กรณีนี้องค์กรตำรวจเสียหายโดยเฉพาะในชั้นพนักงานสอบสวนหรือร้อยเวร รวมไปถึงศาลด้วย หากเป็นกระบวนการเกิดขึ้นจริงตำรวจต้องรวบรวมหลักฐานแล้วรีบดำเนินคดี ส่วนตนไม่รู้จักนางจอมทรัพย์ มาก่อน และไม่ได้โกรธเคืองอะไรกัน ที่ตนเดินทางไปแจ้งความเพราะอยากให้สังคมมีบรรทัดฐาน ไม่อยากให้อนาคตเกิดการรื้อคดี แบบสะเปะสะปะหรืออาจจะหาผลประโยชน์หลังพ้นโทษ ตนยังเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม และครั้งนี้ไม่มีใครหนุนหลังแน่นอนเป็นความคิดของตนเพียงคนเดียว จึงเดินทางไปที่ สภ.เมืองนครพนม เมื่อวานนี้และสำคัญตนไม่ได้โหนกระแสอาชีพเลี้ยงควายไทยอนุรักษ์ให้ดังหรือไปซ้ำเติมใคร

สำหรับคดีนี้ตนก็ยังเห็นจุดบกพร่องอยู่ตั้งแต่แรก อยากให้ระบบพนักงานสอบสวนต้องรัดกุมมากยิ่งขึ้นในการหาผู้กระทำผิด โดย สนง.ตำรวจแห่งชาติต้องนำไปปรับปรุงหรือพิจารณาการดำเนินคดีแต่ละคดี เช่น ในชั้นสอบสวนแบบเมืองนอกเขามีกล้องบันทึกทั้งภาพและเสียง เมื่อนำไปเป็นหลักฐานจะได้ไม่กล่าวหากันไปมา

Advertisement

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image