สภาธุรกิจโลกแนะไทยลดจุดอ่อน5ด้าน เน้นเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน-ปลอดคอร์รัปชั่น

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในงานจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ หัวข้อCompetitiveness and Inclusive Growth: Navigating towards Thailand 4.0 จัดโดยกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสภาธุรกิจโลก(WEF) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่โรงแรมอนันตราสยาม กรุงเทพฯ ว่า ในการอภิปรายจาก WEF ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และเอกชนไม่ได้เน้นที่อันดับขีดความสามารถของการแข่งขัน สิ่งสำคัญคือเน้นการพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศให้ดีขึ้นทุกด้าน สู่การเป็นประเทศรายได้สูง แม้ว่าผลการจัดอันดับดัชนีขีดความสามารถการแข่งขันของโลก ปี 2560-2561 จาก WEF ไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่ 32 จาก 34 ใน 137 ประเทศทั่วโลก โดยไทยมีคะแนนดีขึ้นในหลายหมวดใหญ่ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจมหภาคและโครงสร้างพื้นฐาน แต่การปฏิรูปภาครัฐและการสนับสนุนด้านนวัตกรรมยังคงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมทั่วประเทศ

“มีข้อเสนอแนะในที่ประชุมที่ไทยต้องพัฒนาต่อให้ดีขึ้น คือ การทำให้ประเทศปราศจากคอร์รัปชั่นหรือลดลง ทั้งในส่วนของรัฐบาล สถาบันรัฐและเอกชน การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มีการพัฒนาและยกระดับด้านนวัตกรรม การส่งเสริมด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการทำธุรกิจให้ง่ายขึ้น”นางอภิรดี กล่าว และว่า การสัมมนาเน้นที่จะพัฒนาแบบทุกภาคส่วน เช่น รัฐ เอกชน เกษตรกร มีส่วนร่วมอย่างไร และให้ได้รับผลตอบแทนจากเศรษฐกิจเติบโตได้อย่างไร

นางอภิรดี กล่าวว่า ทาง WEF ได้อภิปรายว่าไทยเดินมาถูกทางหลายเรื่อง เช่น การพัฒนาระบบและสถาบันการศึกษา การคมนาคมขนส่ง ไอที การวิจัยและพัฒนา การอำนวยความสะดวกทางการค้า และที่สำคัญคือให้กลุ่มคนตัวเล็กๆ มีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ด้านการศึกษาแม้ไทยจะเปิดโอกาสให้ทุกๆคนได้เข้าถึงระบบจำนวนมาก แต่แง่คุณภาพต้องมีการปรับปรุง เช่น ภาคอาชีวะ และเรื่องการวิจัยและพัฒนานอกเหนือ จากให้ความสำคัญกับห้องแล็บแล้ว จะทำอย่างไรให้นำงานวิจัยต่างๆ ออกสู่ตลาดได้

ทั้งนี้ ความสามารถในการแข่งขันเป็นสิ่งที่บ่งชี้ศักยภาพของประเทศ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ บรรยากาศการค้าและการลงทุน ดังนั้นการจัดการประชุมเพื่อหารือระหว่างผู้บริหารและผู้แทนจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกณฑ์ชี้วัดใหม่ ที่คาดว่าจะปรับใช้ในปี 2561 จะช่วยให้เห็นประเด็นและปัญหาที่ต้องเร่งดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อนำข้อมูลและข้อเสนอแนะเหล่านี้ มาช่วยในการกำหนดนโยบาย วางรากฐานการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศตามแผนปฏิรูปไทยแลนด์ 4.0

Advertisement

ด้าน นายจัสติน วู้ด หัวหน้าฝ่ายเอเชีย แปซิฟิก ของ WEF กล่าวว่า ในระยะยาวไทยยังมีจุดอ่อนที่ต้องเร่งปรับปรุงอีกหลายด้านสำคัญ ได้แก่ 1.การพัฒนาด้านสถาบันเพื่อให้มีธรรมาภิบาล ครอบคลุมถึงเรื่องความปลอดภัยและทุนทางสังคม การตรวจสอบและการถ่วงดุลอำนาจ ธรรมาภิบาลของรัฐ และประสิทธิภาพงานด้านสาธารณ 2.การปรับหรือลดกฎระเบียบเพื่อสร้างความมีประสิทธิภาพของตลาดและสินค้า ครอบคลุมเรื่องความสามารถแข่งขันในประเทศและต่างประเทศ 3.การสร้างความพร้อมทางเทคโนโลยีและการปรับตัว เช่น การทำโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึง 4.การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม รวมถึงส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนามากขึ้น ให้เศรษฐกิจประเทศขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และ5.การพัฒนาการศึกษาและทักษะฝีมือ

“ขณะที่เรื่องคอร์รัปชั่น นับว่าเป็นปัญหาที่มีอยู่ในทุกประเทศ อยู่ที่ว่าแต่ละประเทศจะมีระดับของปัญหานี้มากน้อยแค่ไหน กรณีของไทยอันดับการคอร์รัปชั่นอยู่ในระดับกลางเมื่อเทียบกับประเทศทั่วโลก การคอร์รัปชั่นนั้นส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุน”นายจัสตินกล่าว และว่า ความท้าทายสำคัญหนึ่งของไทย คือ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ที่ในอนาคตจะมีการนำหุ่นยนต์มาทดแทนแรงงานภาคผลิตมากขึ้น ซึ่งทำให้คนต้องออกจากงาน ตรงนี้จะต้องมีการพัฒนาทักษะฝีมือของคนและแรงงานขึ้นมา

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า WEF บอกว่าไทยมีการพัฒนาองค์รวมดีที่สุดในภูมิภาค การพัฒนาลดความเหลื่อมล้ำเป็นลำดับดีขึ้น เห็นได้จากการเติบโตของฐานรากดีขึ้น ข้อมูลกรมพัฒนาชุมชนระบุว่าสินค้าโอท็อปเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปีนี้ถึง 23% เทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)ที่เติบโตเฉลี่ย 3.5% โดยสินค้าชุมชนมีอัตราโตสูงขึ้นเรื่อยๆมีศักยภาพอีกมากเพราะคิดเป็นเพียง 1% ของจีดีพีที่ประมาณ 13 ล้านล้านบาท นับว่าสอดคล้องกับนโยบายรัฐที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

Advertisement

นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้อันดับความสามารถในการแข่งขันไทยดีขึ้น แต่ยังมีอุปสรรคอีกหลายด้านที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาผลิตภาพของผู้ประกอบการที่ยังต่ำ ด้วยการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่า เพิ่มผลิตภัณฑ์ การใช้นวัตกรรมและการลดต้นทุนเพื่อให้แข่งขันได้ รวมทั้งการแก้กฎหมายที่ล้าหลัง

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ต้องผลักดันการเพิ่มมูลค่าเกษตร การใช้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และกฎหมายบางอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชน และตัวแทนของสภาธุรกิจโลก เกือบ 100 คนเข้าร่วมสัมมนา เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด นายศุภชัย เจียรวรานนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และนางสาววันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image