Confessionalism คือรากเหง้าแห่งความวุ่นวายของเลบานอน : โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

แผนที่แสดงที่ตั้งของประเทศเลบานอนในตะวันออกกลาง

เลบานอนเป็นประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางที่เกิดขึ้นจากการสถาปนาของฝรั่งเศสภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อฝรั่งเศสกับอังกฤษได้ตกลงกันลับๆ เพื่อแบ่งดินแดนในตะวันออกกลางที่เคยเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิออตโตมานตามข้อตกลง “ไซคส์-พิโกท์ (The Sykes-Picot Agreement)” พ.ศ.2459 ระหว่างสองประเทศผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1

ฝรั่งเศสมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างรัฐคริสเตียนให้เกิดมีขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลางอันเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาคริสต์นั่นเอง ซึ่งดินแดนภูมิภาคนี้ได้ตกเป็นของชาวมุสลิมแทบทั้งสิ้น โดยมีแรงบันดาลใจในปรากฏการณ์เมื่อครั้งยุคสงครามครูเสดที่มีขุนนางฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อเรมงด์ที่ 4 เคาต์แห่งตูลูส (Raymond IV, Count of Toulouse) เป็นผู้สถาปนารัฐคริสเตียนชื่อตริโปลี (Tripoli) ขึ้นในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศเลบานอนนั่นเองในสงครามครูเสดครั้งที่ 1 คือร่วม 400 ปีมาแล้ว (พ.ศ.1639-1642)

สาธารณรัฐเลบานอนมีเนื้อที่ 10,452 ตารางกิโลเมตร จัดว่าเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในภาคพื้นทวีปเอเชีย (จริงอยู่ที่มีประเทศที่เล็กกว่าเลบานอน เช่น สิงคโปร์, มัลดีฟส์ แต่ประเทศเหล่านี้เป็นเกาะ) มีประชากรประมาณ 6 ล้านคน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงถึงอารยธรรมของดินแดนเลบานอนนี้ที่มีอายุกว่า 7 พันปี โดยเริ่มจากชาวโฟนิเชียนที่ได้สร้างรัฐพ่อค้าทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งได้สร้างอาณานิคมที่สำคัญคืออาณาจักรคาร์เธจที่ถูกอาณาจักรโรมันยึดครองเมื่อ 64 ปีก่อนคริสตกาล

เมื่อศาสนาคริสต์ได้เผยแผ่เข้ามาในเลบานอนโดยพวกโรมัน โดยชาวบ้านก็รับศาสนาคริสต์แบบประเพณีสงฆ์ (สงฆ์แปลว่าการรวมกันเป็นหมู่คณะ คือเป็นศาสนาคริสต์แบบที่มีหมู่นักบวชรวมกันอยู่ในวัดเดียวกัน เช่นเดียวกับพระภิกษุในศาสนาพุทธอาศัยอยู่รวมกันในวัดนั่นเอง) ศาสนาคริสต์ของเลบานอนเรียกว่านิกาย
มาโรไนท์ (Maronite) ซึ่งชาวคริสต์มาโรไนท์นี้รักษาศาสนาคริสต์ไว้อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าจะต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกมุสลิมที่ยาวนาน ครั้นเกิดสงครามครูเสดขึ้น ทำให้พวกมาโรไนท์เลบานอนนี้ได้รับอิทธิพลและความช่วยเหลือจากบรรดาคริสต์ศาสนิกชนชาวยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฝรั่งเศสโรมันคาทอลิก

Advertisement
แผนที่แสดงกลุ่มศาสนาต่างๆ
ในเลบานอน
ธงชาติเลบานอนมีต้นสนซีดาร์

เมื่อฝรั่งเศสได้ครอบครองดินแดนซีเรียปัจจุบันภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงขยายเขตแดนของชาวคริสต์มาโรไนท์ออกไปอีก รวมเอาดินแดนที่มีชาวมุสลิมเข้ามารวมอีกเป็นจำนวนมากและจัดการปกครองแบบ Confessionalism – การปกครองโดยกำหนดตำแหน่งทางการเมืองตามกลุ่มศาสนาต่างๆ ในประเทศ (นอกจากเลบานอนแล้วก็ยังมีประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวินาซึ่งเป็นประทศที่ตั้งอยู่ในคาบสมุทรบอลข่านอีกประเทศหนึ่งที่ใช้ระบบการปกครองแบบ Confessionalism แบบเดียวกันนี้ด้วย) ซึ่งประเทศเลบานอนได้กำหนดใช้วิธีการปกครองตามแบบ Confessionalism มา 74 ปีแล้วตั้งแต่ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.2486 โดยกำหนดว่า

1) ประธานาธิบดีผู้เป็นประมุขของประเทศต้องเป็นพวกมาโรไนท์คริสเตียน
2) ประธานสภาผู้แทนราษฎร (มีสภาเดียว) ต้องเป็นมุสลิมชีอะห์
3) นายกรัฐมนตรีผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารต้องเป็นมุสลิมซุนนี

นอกจากนี้ บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรีก็ต้องแบ่งกันเป็นสัดส่วนจากการเลือกตั้งของพรรคการเมืองที่เป็นผู้แทนของกลุ่มศาสนาต่างๆ กันกว่า 10 พรรค เนื่องจากแต่ละศาสนาก็ยังแบ่งออกเป็นนานานิกาย อาทิ ศาสนาคริสต์ นอกจากพวกมาโรไนท์แล้วก็ยังมีพวกคาทอลิกและคริสเตียนอาร์มีเนียกับอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ส่วนพวกมุสลิมก็แยกย่อยออกไปอีกหลายนิกายเช่นเดียวกัน รวมทั้งพวกดรูซและศาสนาอื่นที่แยกย่อยออกไปอีก

Advertisement

ด้วยเลือดพ่อค้าของชาวเลบานอนที่ว่ากันว่ามาจากชาวโฟนิเชียนได้สร้างความเจริญมั่งคั่งให้กับประเทศเลบานอน แบบว่าชาวเลบานอนโดยเฉลี่ยแล้วมีฐานะความเป็นอยู่ดีกว่าบรรดาชาวอาหรับทั่วไปในประเทศต่างๆ แต่เนื่องจากการปกครองในรูปแบบ Confessionalism นั้นขึ้นกับจำนวนประชากรซึ่งเดิมทีตอนได้เอกราชเมื่อ 74 ปีที่แล้วนั้น กลุ่มชาวคริสต์มาโรไนท์มีประชากรมากที่สุด รองลงมาคือกลุ่มมุสลิมซุนนีและกลุ่มมุสลิมชีอะห์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนปัจจุบันนี้ ปรากฏว่ากลุ่มมุสลิมชีอะห์กลับมีประชากรเป็นอันดับหนึ่ง และกลุ่มมุสลิมซุนนีก็ยังมีประชากรเป็นอันดับสองดังเดิม โดยพวกคริสต์มาโรไนท์กลับมีประชากรอยู่ในอันดับที่สามเสียแล้ว

ดังนั้น จึงเกิดเรื่องขัดแย้งในสามกลุ่มศาสนาที่จะปรับการแบ่งอำนาจกันตามปริมาณของผู้คนในแต่ละกลุ่มศาสนา ซึ่งก็ตกลงกันไม่ได้ จึงเกิดสงครามกลางเมืองก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวง แถมยังโดนเพื่อนบ้านคือซีเรียทางทิศเหนือส่งกำลังทหารเข้ามายึดครองเลบานอนตั้งแต่ พ.ศ.2519-2548 นับเป็นเวลา 29 ปีเลยทีเดียว และส่วนอิสราเอลก็เข้าไปยึดครองดินแดนภาคใต้ของเลบานอนที่มีพื้นที่ประมาณ 530 ตารางกิโลเมตร เป็นเวลาถึง 15 ปี จาก พ.ศ.2528-2543

อีทีนี้ชาวเลบานอนที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้นั้นส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมชีอะห์ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชนบท แต่เดิมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในประเทศเลบานอนเลยได้รับการสนับสนุนทั้งการเงิน อาวุธยุทโธปกรณ์ และการฝึกการรบจากอิหร่านซึ่งเป็นชาติมุสลิมชีอะห์เช่นกัน จนกลายเป็นกองกำลังรบที่เข้มแข็งที่สุดในเลบานอน คือสามารถขับไล่กองทัพอิสราเอลออกจากเลบานอนตอนใต้ได้สำเร็จ ชาวชีอะห์ภาคใต้เหล่านี้คือพวกฮิซบอลเลาะห์นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของกำลังทหารที่เป็นอิสระที่เข้มแข็งที่สุดในเลบานอน ต่อมาพวกฮิซบอลเลาะห์ก็ได้เข้าร่วมรัฐบาล และยังส่งกำลังทหารไปช่วยรัฐบาลซีเรียต่อสู้กับกลุ่มกบฏกลุ่มต่างๆ

ที่สหรัฐอเมริกาและซาอุดีอาระเบียให้ความสนับสนุนและกลุ่มไอเอสอย่างขันแข็ง ซึ่งกลุ่ม
ฮิซบอลเลาะห์นี้เองที่ทางการซาอุดีอาระเบียวิตกกังวลเป็นอย่างมากว่าเป็นส่วนหน้าและเป็นกองกำลังสำคัญของอิหร่านที่จะรุกคืบเข้ามาในโลกอาหรับ ทางการซาอุดีอาระเบียจึงเรียกตัวนายกรัฐมนตรีแห่งเลบานอน นายซาอัด ฮาริรี ไปลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนายซาอัด ฮาริรี ผู้นี้ถือ 2 สัญชาติคือเลบานอนและซาอุดีอาระเบีย โดยอ้างว่ากองกำลังของอิหร่านที่รุกคืบหน้าเข้ามาในดินแดนอาหรับโดยร่วมมือกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์นั่นเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image