ความรู้ใหม่ไม่เหมือนใครในโลก เกี่ยวกับภาพสลักที่ปราสาทนครวัด พบในประวัติศาสตร์จากหนังสือเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้
(1.) ภาพสลักที่ปราสาทนครวัด เป็นขบวนทหารเดินสวนสนาม (2.) ทหารเดินสนามถวายความเคารพพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ขณะประทับนั่งห้อยพระบาท (3.) มีทหารไทยจากเมืองละโว้อยู่ในการสวนสนามที่ปราสาทนครวัด
ขอคัดข้อความในหนังสือเรียนมาด้วย ดังนี้
ทหารไทยสวนสนามที่นครวัด
“หลักฐานที่แสดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ก็คือภาพสลักที่นครวัด เป็นภาพทหารที่เดินสวนสนามผ่านหน้าพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ขณะประทับรับการเคารพจากทหาร สันนิษฐานว่าทหารไทยที่มาสวนสนามนั้นน่าจะมาจากเมืองละโว้ และละโว้อาจจะเป็นเมืองที่อยู่ใต้อำนาจเขมร”
[
หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ พิมพ์ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557 หน้า 100-101]
ทักท้วง
ภาพสลักที่ปราสาทนครวัด มีคำอธิบายหลายหลากจากนักปราชญ์นานาชาติและนักค้นคว้า นักคิด นักเขียน ฯลฯ สรุปโดยย่อได้ต่อไปนี้
1. นักปราชญ์ฝรั่งเศส (ยุคล่าอาณานิคม) อธิบายว่าเป็นกองทัพเมืองขึ้นของกัมพูชา
แต่มีผู้อธิบายต่างไปว่าเป็นขบวนแห่เกียรติยศของบ้านเมืองเครือญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดของกษัตริย์กัมพูชา ไม่ใช่เมืองขึ้น (เหมือนการเมืองสมัยใหม่ยุคล่าเมืองขึ้น)
2. นักปราชญ์ฝรั่งเศสอธิบายว่าเป็นกองทหารเมืองขึ้นของกัมพูชา ถูกเกณฑ์ไปร่วมรบกับจามปา
แต่มีผู้อธิบายต่างไปว่าเป็นขบวนแห่ของบ้านเมืองเครือญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดของกษัตริย์กัมพูชา ในพิธีถือน้ำพระพัทธ์สัตยา และสรรเสริญพระเกียรติยศของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ไม่ใช่กองทัพยกไปร่วมรบในสงคราม
3. ยุคนั้นไม่เคยพบหลักฐานชาวละโว้เรียกตัวเองว่า ไทย, คนไทย แต่เอกสารไทยเรียกชาวละโว้ว่า ขอม
ขบวนแห่เกียรติยศจากละโว้ (ที่เชื่อว่าปัจจุบันคือลพบุรี) ซึ่งเจ้านายและคนชั้นนำพูดภาษาเขมร เป็นรัฐเครือญาติใกล้ชิดกษัตริย์กัมพูชา
ภาพสลักยังมีขบวนแห่อยู่หน้าละโว้เป็นพวกสยาม (หรือ เสียมกุก) ก็ไม่เรียกตัวเองว่า ไทย, คนไทย จึงไม่ควรเหมารวมเอาเองว่าละโว้เป็นทหารไทยหรือคนไทย
มีอีกมาก
ผมอ่านหนังสือเรียนชุดนี้อย่างกลุ้มใจสุดๆ เพราะเห็นอกเห็นใจนักเรียนที่ต้องทนทุกข์ทรมานเรียนตามตำราที่มีปัญหาโดยตัวเองไม่รู้ หรือรู้ก็ทำอะไรไม่ได้
ขณะเดียวกันก็เป็นทุกข์แทนครูผู้สอน ที่ต้องสอนตามหนังสือเรียนของกระทรวงฯ ซึ่งผมว่าอ่านยาก เข้าใจยาก เหมือนหนังสือวิชาการของนักโบราณคดีแบบอาณานิคม
ไม่มีเจตนาจับผิดหนังสือเรียนอย่างนี้ แต่พรรคพวกจากเมืองสุพรรณบอกกล่าวมา ผมเลยฝากซื้อชั้น ม.1, 2, 3, และ 4-6 จากศึกษาภัณฑ์ราชดำเนิน เมื่อวันจันทร์ 20 พฤศจิกายน นี้เอง แล้วลุยอ่าน จึงพบข้อทักท้วง ซึ่งมีอีกมากในหลายเล่ม
แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะเขียนบอกอีก หรือพอแค่นี้?
เพราะบอกไปก็เท่านั้น วิธีคิดทางประวัติศาสตร์แบบอาณานิคมต้องเป็นอย่างนี้ แก้ไขไม่ได้